หลงรัก 'ปราย พันแสง (อีกแล้ว)

สูงต่ำล้วนผ่านตา
หลงรัก 'ปราย พันแสง (อีกแล้ว)
ข้อความจากบล็อกของคุณ
bonwhan
..............
เพิ่งจะมีเสาร์อาทิตย์นี้แหละ ที่เรียกได้ว่าเป็นวันหยุดที่แท้จริงนอนตื่นสายซะเก้าโมงกว่าๆ..แดดส่องจนรู้สึกห้องอุ่น ถึงได้งัวเงียลืมตาตื่นก็เมื่อคืนนอนดึก ถึงดึกมาก...พักนี้บ้าดูหนังเป็นว่าเล่น ดูแล้วมันสบายใจ..ก็เลยดูไปเรื่อยๆ ประมาณนั้นรู้สึกดี๊ดี..เหมือนโลกนี้เป็นของเรา ที่ตื่นมาก็ชงกาแฟกางหนังสือไว้ตรงหน้า แล้วก็นั่งดื่มกาแฟ ดูหมาตรงระเบียงบ้านนี่ถ้ามีคุ้กกี้ยี่ห้อโฮมเมด รสบัตเตอร์ ก็จะดีใช่น้อยพูดถึงคุ้กกี้นี้แล้วก็ให้เจ็บใจ คุ้กกี้อะไรอร่อยอิ๊บ อ๋าย...เมื่อก่อนหาซื้อได้ทั่วไปตามท็อปส์ ซูปเปอร์มาร์เก็ต แต่ว่าตอนนี้นะเหรอ...หึ...ไปกี่ครั้ง กี่ครั้ง ก็หามีไม่..อุตส่าห์โฆษณาไปซะทั่วว่าอร่อยโคตรๆ..จนเพื่อนพ้องน้องพี่ชอบกินไปตามๆกัน..แต่ตอนนี้....(ฮึ่ม)..หาซื้อไม่ได้มานานหลายเดือนแล้วนะเนี่ย ก็เลยต้องหันมาพึ่งอาร์เซนอลไปพลางๆ (55555)..
...
เพิ่งซื้อหนังสือมาใหม่อีกเล่ม ของ'ปราย พันแสง นักเขียนคนโปรด (จุ๊ๆ...อย่าเอ็ดไป)หน้าปกเป็นภาพขาวดำ จักรยานจอดพิงอยู่ข้างตึกที่ไหนสักแห่งบนโลกใบนี้ถูกใจเหลือหลาย ...แถมยังโปรยที่หน้าปกด้วยตัวอักษรสีเหลืองว่า HIGH WAY BLUE แ้ล้วก็ตามด้วยประโยคออกแนวฝันๆ ผสมปลงอนิจจังที่ว่า.."สูงต่ำล้วนผ่านตา"
...
'ปราย พันแสงนามปากกาเธอนี่งาม..เท่ เรียบง่าย ได้ใจจริงๆ ฉันมีหนังสือของคุณ'ปราย เธอหลายเล่ม แต่ไม่ได้มีทุกเล่มที่เธอเขียนชอบวิธีการเขียนของเธอที่ใส่หัวใจ ใส่ความรู้สึกลงไปในตัวหนังสือ แล้วรู้สึกว่าเธอทำการบ้านเยอะมาก กว่าจะเขียนได้แต่ละเรื่อง ชนิดที่ว่าอ่านแล้ว นอกจากจะอิ่มเอมหัวใจกับแง่มุมงามๆแล้ว ในสมองยังก็ได้มีรอยหยักเพิ่มขึ้นอีกด้วย (มากไปหรือเปล่าไม่รู้นะ แต่ฉันรู้สึกแบบนี้จริงๆ)
.......
ยังมีหนังสืออีกเล่มหนึ่ง ที่เล็งไว้เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว แต่ยังไม่ได้ซื้อมา เป็นหนังสือของมูราคามิ ยังไม่เคยอ่านผลงานของนักเขียนคนนี้เลย ได้แต่มองผ่าน..แล้วก็มองผ่าน..แต่ว่าวันนั้นที่เห็นบนชั้นหนังสือที่ B2S...หน้าปกของเขานี่ได้ใจฉันไปเต็มๆ เปิดดูข้างในผ่านๆ ก็ว่าน่าจะเข้าท่าดีถ้ายังไม่เปลี่ยนใจไปเสียก่อน ครั้งหน้าฉันจะยอมควักกระเป๋าเป็นเจ้าของจริงๆนะ..คราวนี้ยกให้คุณ'ปราย เธอไปก่อนละกัน เพราะฉันตั้งใจซื้อของเธอจริงๆ ไม่อยากให้มูราคามิ ต้องอยู่ในตำแหน่งที่เรียกว่า.."มาแบบไม่ได้ตั้งใจ" (55555)"
...เพียงอยากมองโลก
จากมุมที่สูงที่สุด
ณ จุดที่ฉันเหยียบถึง
สักครั้งหนึ่งในชีวิต
แล้วไต่ลง
ก็แค่นั้น
ฉันรักเธอ..ในวิถีเดียวกัน
ทนลำบากปีนป่ายฝัน
มิต้องการสิ่งใด
นอกจาก
แค่อยากรักใครสักคน
อย่างลึกซึ้ง
อย่างน้อยสักครั้งหนึ่ง
ก็-แค่นั้น "

หน้าปกด้านในเธอเขียนไว้อย่างนี้
ดูสิ แล้วจะไม่ให้ฉันหลงรักหนังสือของเธอได้ยังไง

Create Date : 05 ตุลาคม 2551
Last Update : 5 ตุลาคม 2551 23:59:31 น.
http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=bonwhan

ชื่นชอบผลงานตั้งแต่ได้อ่านเรื่อง "จดหมายรัก"

...........................................................................................
"ชื่นใชื่นชอบผลงาน ตั้งแต่ได้อ่านเรื่อง "จดหมายรัก"
ข้อความจากบล็อก playalong.multiply
Posted by YU on Jun 3, '08 12:52 PM
Link: http://prypansang.blogspot.com/
...
'ปราย พันแสง ชื่นชอบผลงานตั้งแต่ได้อ่านเรื่อง "จดหมายรัก" ซึ่งอ่านจบแล้วทำให้อยากเขียนจดหมายหาคนรักทันที แต่ก็ทำไม่ได้เนื่องจากตอนนั้นอยู่ในช่วงที่กำลังอกหัก.... แต่ก็ได้ข้อคิดอะไรหลาย ๆ อย่างจากหนังสือเล่มนั้น และเริ่มติดตามงานเขียนของคุณ 'ปราย พันแสง มาตลอด อาจจะไม่ทุกเล่ม แต่ก็พยายามหามาอ่านให้ได้ และเล่มล่าสุดที่กำลังอ่านอยู่นี้ คือPassion Cafe คาเฟ่ เสน่หา.. ได้มุมมองอะไรอีกแล้ว... (^_^) playalong.multiply.com

นิตยสารไฮคลาส Vol.26 No.271 August 2008



'ปราย พันแสง
"เขาบอกว่าวรรณกรรมไทยขายยาก"
จากคอลัมน์ Thai Writer,นิตยสารไฮคลาส
ฉบับที่ 271 สิงหาคม 2008 โดย : กิติคุณ คัมภิรานนท์

'ปราย พันแสง นักเขียนหญิงที่มีผลงานได้รับการยอมรับในวงการวรรณกรรมไทยคนหนึ่ง 'ปราย เริ่มต้นเขียนงานตั้งแต่อยู่ชั้นมัธยมปลาย ด้วยแรงกระตุ้นจากการอ่านผลงานของนักเขียนท่านอื่นๆ จนเกิดแรงบันดาลใจอยากเขียนงานของตัวเอง 'ปราย คร่ำหวอดในแวดวงหนังสือมายาวนาน ทั้งในฐานะกองบรรณาธิการ นักข่าวหนังสือพิมพ์ บรรณาธิการนิตยสาร นักเขียนบทละครโทรทัศน์ ฯลฯ ปัจจุบัน นอกจากเขียนหนังสืออย่างสม่ำเสมอ เธอยังเป็นหัวเรือใหญ่ นำพานิตยสารและสำนักพิมพ์ freeform โต้คลื่นมรสุมแห่งมหาสมุทรวรรณกรรมไทยที่ไม่เคยได้ดั่งใจ ให้สามารถไปสู่ฝั่งฝันที่ต้องการให้จงได้


อะไรที่ทำให้เริ่มเป็นนักเขียน และอะไรที่ทำให้ยังเป็นนักเขียน
คงเริ่มต้นเหมือนคนเขียนหนังสือทั่วๆ ไป ที่เริ่มจากการเป็นคนอ่านมาก่อน ที่บ้านชอบอ่านหนังสือค่ะ แม่ป้าน้าอาชอบอ่านนิยายกันมากๆ อย่างหนังสือสกุลไทย ขวัญเรือน หรือบางกอก ที่บ้านก็อ่านประจำ เด็กๆ เราเติบโตมาก็เห็นหนังสือพวกนี้ เห็นทุกคนในบ้านอ่านกัน เราก็อ่านบ้าง แรกๆ อาจจะเริ่มจากเซ็คชั่นสำหรับเด็กที่แทรกอยู่ในหนังสือ อ่านนิทานอะไรอย่างนั้น แต่จำได้ว่าตอนเด็กๆ ก็ชอบอ่านเซ็คชั่นเด็กอยู่แป๊บเดียวก็เลิกอ่านแล้ว จะชอบอ่านนิยายหรือเรื่องอื่นๆ ในหนังสือแบบที่ผู้ใหญ่อ่านกันมากกว่า

...
พออ่านเยอะขึ้นก็เริ่มอยากเขียน เพราะจากที่ได้อ่าน เราก็รู้สึกว่าเรื่องแบบนี้เราน่าจะเขียนได้ ก็คิดไปประสาเด็กค่ะ เพราะพอเราเริ่มมาลงมือเขียนหนังสือเองจริงๆ ก็พบว่าการเขียนหนังสือมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด บางเรื่องเวลาเราอ่านของคนอื่น มันเหมือนจะเขียนออกมาง่ายๆ แต่ลงมือทำมันก็ยาก หรือเรื่องง่ายๆ บางเรื่องที่ประสบความสำเร็จ เราก็จะไปทำตามอย่างนั้นก็ไม่ได้ เราก็ต้องคิดเรื่องใหม่ เขียนเรื่องใหม่อยู่ดี ทุกวันนี้เขียนหนังสือเป็นอาชีพมาหลายปีแล้ว แต่ทุกครั้งที่นั่งลงเพื่อเขียนเรื่องใหม่ ก็ยังรู้สึกว่างานเขียนเป็นสิ่งที่ยากอยู่เสมอล่ะค่ะ

....
ส่วนที่ยังทำให้เขียนหนังสือมาจนถึงวันนี้ ก็เพราะว่าสิ่งที่เราเขียนออกไปมันมีคนอ่านอยู่บ้าง ยังมีคนชวนให้เขียนโน่นเขียนนี่อยู่เรื่อยๆ เมื่อเขียน เมื่อพิมพ์หนังสือเป็นเล่มออกมาก็พอมีคนติดตามบ้าง มันก็เลยทำให้เราสามารถทำงานออกมาได้เรื่อยๆ ที่ยังเขียนอยู่ก็เพราะยังมีคนอ่านงานของเราอยู่ค่ะ แต่ก็คิดว่าต่อไป ถึงไม่มีใครอ่านสิ่งที่เราเขียนเลย แต่ถ้าเราอยากเขียน มีสิ่งที่อยากจะเขียน ก็เขียนเองอ่านเองคนเดียวก็ได้นะ


วรรณกรรมที่ดีในทัศนะของคุณต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

และใครคือต้นแบบในการเขียนหนังสือของคุณ

คุณสมบัติของวรรณกรรมที่ดี ถ้าในแง่ศิลปะวรรณกรรม ดิฉันคิดว่ามันก็ต้องมีหลักเกณฑ์ของมันอย่างที่ใช้กันทั่วไป ว่างานวรรณกรรมที่ดีต้องเป็นอย่างไร ต้องมีองค์ประกอบอะไรบ้าง อย่างรางวัลซีไรต์ เขาก็จะมีกรอบเกณฑ์ของเขาในการประเมินที่ค่อนข้างชัดเจน มีมาตรฐานของมันอยู่ และดิฉันก็ยังเชื่อว่าเกณฑ์พิจารณาคุณค่างานศิลปะวรรณกรรมก็ยังต้องอาศัยมาตรฐานที่ว่านี้ไปอีกนาน เพราะมันปลอดภัยที่สุดแล้วในการคัดเลือกหรือตัดสินอะไรสักอย่าง

....
ส่วนต้นแบบในการเขียนหนังสือ ดิฉันชอบนักเขียนไทยยุคสุภาพบุรุษนักประพันธ์ค่ะ นักเขียนยุคนั้นทำให้ดิฉันรู้สึกว่าอาชีพเขียนหนังสือหรือทำหนังสือเป็นอาชีพที่มีเกียรติและสง่างามมาก

ปณิธานสูงสุดในฐานะนักเขียนของคุณและวันนี้ทำได้สมปณิธานนั้นหรือยัง
มาไกลเกินฝันมากแล้วค่ะ วันนี้คือกำไรชีวิตล้วนๆ

คนทั่วไปรู้จัก 'ปราย พันแสง ทั้งในฐานะของนักเขียน กวี นักแปล ฯลฯ แต่ถ้าให้คุณนิยามถึงตัวเอง 'ปราย พันแสง คือ?
กวีกับนักแปลนี่คงไม่ใช่หรอกนะคะ ถ้าในฐานะคนเขียนหนังสือคนหนึ่ง น่าจะเป็นคนเขียนคอลัมน์หรือคอลัมนิสต์มากกว่าอย่างอื่น


วิธีการทำงานเขียนชิ้นหนึ่งของคุณเริ่มที่ไหนและจบลงที่ไหน (ในแง่ของวิธีการทำงาน ไม่ใช่สถานที่)
ถ้าเป็นงานเขียนคอลัมน์ ส่วนมากจะเริ่มที่การคิดประเด็นหรือข้อมูลค่ะ เพราะตั้งกฎให้ตัวเองว่าจะเขียนอะไรสักอย่าง ต้องมีความรู้ใหม่ๆ หรือมุมใหม่ๆ อะไรสักอย่าง ถ้าไม่มีอย่าเขียน จากนั้นตามมาด้วยชื่อเรื่อง เพราะส่วนมากชื่อเรื่องก็คือคอนเซ็ปต์ที่จะเขียน เป็นตัวคุมงานทั้งชิ้นของเรา ดิฉันเคยทำงานหนังสือพิมพ์มาก่อนค่ะ เลยติดว่าเนื้อหาข้างในจะต้องอธิบายพาดหัวข่าวได้ทั้งหมด จากนั้นก็จะให้ความสำคัญกับการเปิดเรื่องและจบเรื่อง เปิดเรื่องต้องสะดุด ทำให้อยากอ่านต่อ จบเรื่องต้องคม มีอะไรติดปากติดใจให้คิดนึดนึง ส่วนมากก่อนจะลงมือเขียนอะไรสักชิ้น ต้องมีชิ้นส่วนพวกนี้ให้ครบก่อนค่ะ ถ้าไม่ครบมันจะเขียนไม่ลื่น อย่างถ้าเขียนๆ ไปแล้วเบื่อ เขียนไม่จบ หรือจบแล้วไม่พอใจเนี่ย เราจะรู้เลยว่าเรามีของไม่ครบ เหมือนแม่ครัวจะทำกับข้าว แต่เครื่องปรุงไม่ครบ มันก็เซ็งค่ะ บางทีต้องเปลี่ยนประเด็นเขียนไปเลย


วิถีชีวิตของคุณทุกวันนี้เป็นเช่นไรใช้เวลาช่วงไหนเขียนหนังสือเป็นหลัก
ช่วงนี้เขียนบล็อกบ้างประปราย (prypansang.blogspot.com) แล้วก็กำลังเขียนนิยายอยู่เรื่องหนึ่ง แต่เขียนๆ หยุดๆ เพราะต้องมาดูแลงานผลิตหนังสือที่ฟรีฟอร์มเป็นหลัก อยากให้มันอยู่ได้ในแง่ธุรกิจ ให้เลี้ยงตัวเองได้ เราจะได้พิมพ์หนังสือที่เราอยากอ่านออกมาได้เรื่อยๆ ดิฉันทำฟรีฟอร์มมาสองสามปีแล้ว ที่ผ่านมาก็ต้องก็ทำงานหนักพอสมควร เลยต้องหยุดงานเขียนคอลัมน์ประจำทั้งหมด แต่ตอนนี้ก็ดีขึ้นมากแล้ว อีกไม่นานคงปล่อยให้คนอื่นทำแทนได้เต็มตัวแล้ว สำหรับงานเขียนส่วนตัว ตอนนี้ก็หวังแค่ว่าปีนี้ถ้าจบนิยายลงได้ ก็จะสบายใจที่สุด เรื่องอื่นค่อยว่ากัน

ทัศนะของคุณ ต่อวงการวรรณกรรมไทย (ความเป็นอยู่และความเป็นไป)
ตอบ กลุ้มค่ะ ถ้าใครเริ่มเขียนหนังสือตอนนี้ก็ยิ่งกลุ้มแทน ดิฉันเคยพิมพ์หนังสือของนักเขียนไทยท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นการช่วยๆ กันของเพื่อนพ้องน้องพี่ที่รู้จักกันเท่านั้น เพราะพิมพ์น้อย ถึงขายหมดก็ยังไม่มีกำไร แต่ปรากฏว่าบริษัทจัดจำหน่ายไม่ยอมรับไปขายให้ เขาบอกว่าวรรณกรรมไทยขายยาก ขายไม่ได้ นักเขียนต้องใช้ความสัมพันธ์ส่วนตัวไปติดต่อบริษัทจัดจำหน่ายเอาเอง ซึ่งดิฉันมองแล้วก็รู้สึกว่าทำไมนักเขียนไทยเรามันลำบากกันจังนะ การจะเขียนหนังสือให้ดีก็ยากพอแล้ว ยังหาที่พิมพ์ยาก หาที่ขายยากอีกหรือ กลุ้มจริงๆ
มีน้องคนหนึ่งรู้จักกัน เพิ่งลาออกจากบริษัทเพื่อมาเขียนหนังสืออย่างเดียว เพิ่งเขียนนิยายเสร็จไปเรื่องหนึ่ง ก็ส่งมาให้ดิฉันช่วยอ่าน ดิฉันอ่านไปก็กลุ้มไป ถ้ายิ่งเขียนดีเนี่ยคงยิ่งกลุ้มใจกว่านี้ พอดีน้องเขาเพิ่งเริ่ม ยังเขียนได้ไม่ค่อยลงตัวนัก ถ้าเอาจริงก็คงต้องใช้เวลาฝึกฝนอีกนานพอสมควร ก็ได้แต่หวังว่าเมื่อน้องเขาเขียนเก่งดีแล้ว วงการวรรณกรรมไทยเราจะเปิดกว้างกว่านี้ แต่คิดว่าคงยากค่ะ ใครเขียนหนังสือตอนนี้ก็คงลำบากหน่อย ถึงคุณมีเงินพิมพ์หนังสือของตัวเองออกมาได้ ..ก็ไม่แน่ว่าจะมีที่ขายนะคะ จะเป็นนักเขียนตอนนี้ให้เวลาคิดใหม่ได้อีกที หรือต้องหาทางหนีทีไล่ให้ตัวเองดีๆ ไม่งั้นอยู่ยากค่ะ



"
รางวัล"จำเป็นไหมต่อวงการวรรณกรรมและสภาพการณ์ที่มีการประกวดรางวัลผุดขึ้นมากมายในปัจจุบันคุณคิดเห็นว่ามันสื่อถึงอะไร
จำเป็นนะคะ ยิ่งมีมากๆ ยิ่งดีค่ะ มันน่าจะสื่อถึงการดิ้นรนหาทางรอดตายของวรรณกรรมนะคะ แนวโน้มคงเป็นทั่วโลก ไม่เฉพาะในบ้านเรา ขนาดสำนักพิมพ์ใหญ่ในต่างประเทศบางแห่ง ยังคิดถึงขนาดว่าจะหานายแบบหนุ่มหล่อมาเป็นพรีเซ็นเตอร์อ่านหนังสือ เพื่อส่งเสริมการอ่านขนาดนั้น อย่างวรรณกรรมไทยตอนนี้ มันก็แทบจะไม่มีชั้นวางในร้านหนังสือแล้ว การมีรางวัลขึ้นมา มันก็เหมือนส่องไฟสป็อตไลท์ไปตรงหนังสือเล่มนั้น ให้มันเด่นสะดุดตาขึ้นมา คือในแง่หนึ่ง มันก็เป็นการให้กำลังใจคนทำงาน ถึงหนังสือขายไม่ออก แต่มันได้รางวัล คนทำงานก็คงมีกำลังใจทำต่อไปใช่ไหม หรือมองอีกแง่ การให้รางวัล มันเป็นการตลาดที่ดูดีที่สุดแล้วค่ะ ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์เพื่อทำให้หนังสือเป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไป


ณ วันนี้สำหรับคุณแล้วการเขียนหนังสือเปรียบได้กับอะไร (ยาเสพติด-ขาดไม่ได้,ลมหายใจ-ขาดไม่ได้ ฯลฯ) แล้วเคยคิดที่จะเลิกเขียนไหม
คงไม่ถึงขนาดหรอกนั้นนะคะ เคยคิดว่าถ้าไม่อยากเขียน หรือไม่มีอะไรจะเขียน ก็คงไม่จำเป็นต้องเขียนหรอกค่ะ ไปเป็นคนอ่านอย่างเดียวคงสนุกกว่า ส่วนเรื่องเลิกเขียน เคยคิดว่าถ้าแก่มากๆ หรือป่วยหนัก จนใช้มือเขียนเองไม่ได้ แล้วต้องพูดให้คนอื่นเขียนให้อะไรอย่างนั้น ดิฉันอาจจะไม่ทำ คงเลิกเขียนไปเลย เพราะคงจะเขินๆ คนที่จดให้เราน่าดู คงไม่ชินแน่เลยกับการทำงานอย่างนั้น แต่ก็ไม่แน่ใจหรอกว่าถ้าถึงเวลานั้นจริงๆ เราจะต้องทำหรือเปล่า คือถ้าแรงขับภายในมันเยอะมาก ก็คงต้องทำนะคะ แต่ก็หวังว่าตัวเองคงไม่ต้องจนมุมถึงขนาดนั้น แต่ชีวิตคนเรามันก็ไม่แน่นอน ใครจะรู้ใช่ไหม


คำแนะนำถึงนักอยากเขียนกวีว่าเขาต้องเริ่มต้นที่จุดไหน และพัฒนาตัวเองอย่างไร
ดิฉันไม่คิดว่าตัวเองจะให้คำแนะนำใครในเรื่องนี้ได้นะคะ เพราะถ้าเกี่ยวกับกวี ดิฉันก็เป็นแค่คนอ่านธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้นเองค่ะ และถ้าจะแนะนำ ก็คงแนะนำได้แต่เพียงว่า ถ้าอยากเขียนอะไร ก็พยายามศึกษาและอ่านงานประเภทนั้นให้เยอะที่สุด และให้หลากหลายที่สุดค่ะ



สุดท้าย ขอรายชื่อนักเขียนคนโปรด 5 คนและรายชื่อหนังสือเล่มโปรด 5 เล่ม
หลายปีมานี้ เคยตอบเรื่องนักเขียนคนโปรดกับหนังสือเล่มโปรดมาหลายครั้ง แต่ละครั้งก็ไม่ค่อยซ้ำกันเลย คงขึ้นกับว่าช่วงนั้นสนใจอะไรอยู่ เอาเป็นว่า “โปรด” ในช่วงเวลาหนึ่งเวลานั้นก็แล้วกันนะคะ

...
“5 โปรด” สำหรับหนังสือและนักเขียนช่วงนี้ ก็มีดังนี้ค่ะ



1.Sixty Million Frenchmen Can’t Be Wrong :
Jean Benoit Nadeau, Julie Barlow

....
หลายปีมานี้ต้องอ่านหนังสือเล่มนี้หลายรอบ เพราะหน้าที่การงาน ทำให้ดิฉันมีโอกาสพบปะเกี่ยวข้องกับคนฝรั่งเศสค่อนข้างมากกว่าชาติอื่น โดยเฉพาะคนฝรั่งเศสที่อยู่ในเมืองไทย จากที่เคยทำงานร่วมกันหลายครั้ง ก็รู้สึกถึงความแตกต่างด้านวัฒนธรรมค่อนข้างมาก เช่นว่าทำไมสรุปกันแล้วยังเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา หรือเวลานัดกันทำไมเขาชอบมาสาย เอ๊ะ มันเรื่องปกติสำหรับเขาหรือเปล่านะ บางทีเขามาเลทเป็นชั่วโมง คนก็รอกันเต็มเลย พอมาถึงเขาก็ร่าเริง สดชื่น ไม่มีการขอโทษ ทุกอย่างปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเราก็ เอ๊ะ มันยังไงนะ พออ่านหนังสือเล่มนี้ก็เข้าใจมากขึ้น อย่างชื่อหนังสือก็ฮาแล้ว “คนฝรั่งเศสหกสิบล้านคนไม่เคยผิด” มันเป็นไปได้ไง นักเขียนสองคนนี้เขาเป็นนักข่าวแคนาดาที่ไปใช้ชีวิตอยู่ในฝรั่งเศสหลายปี แล้วเขียนหนังสือเล่มนี้ คาดว่าคงเขียนขึ้นมาด้วยข้อสังเกตเบื้องต้นคล้ายๆ เรา หนังสือจึงมีรายละเอียดเกี่ยวกับวัฒนธรรมย่อยค่อนข้างเยอะ อ่านแล้วค่อนข้างทึ่งกับหลายๆ อย่างที่ประกอบกันขึ้นมาเป็นฝรั่งเศส





2.วันใบไม้ร่วงของคนไกลบ้าน
อารยา ราษฎร์จำเริญสุข

....
หลายปีก่อน ดิฉันมีโอกาสสัมภาษณ์อาจารย์อารยา ลงตีพิมพ์ในนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ ตอนนั้นเธอจัดแสดงผลงานศิลปะของเธอที่หอศิลป์เจ้าฟ้า น่าจะเป็นการแสดงงานคอนเซ็ปต์ชวลอาร์ตยุคแรกๆ ของเมืองไทย

...

จำได้ว่าเดินเข้าไปในหอศิลป์แล้วเหวอมาก เจอเตียงคนไข้ เจอเลือด เจออะไรดำๆ มืดๆ เราเดินดูอยู่คนเดียวตอนเย็นๆ ก็ใจหายใจคว่ำ บอกตรงๆ ว่ากลัวมาก แต่พอได้คุยกับเธอก็ประทับใจ

....

ดิฉันถามเธอว่าทำไมจึงคิดจัดแสดงนิทรรศการนี้ขึ้นมา ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันไม่ใช่นิทรรศการขายรูปที่จะทำให้ศิลปินมีรายได้อะไรเลย แล้วเธอก็ใช้ทุนทรัพย์ส่วนตัวในการทำงานทั้งหมด เธอตอบว่ามันน่าจะมีประโยชน์กว่าเอาเงินไปซื้ออายครีมแพงๆ ฟังแล้วก็ทึ่ง

...
สองสามปีมานี้ พอได้มาทำนิตยสารฟรีฟอร์ม ดิฉันก็มีโอกาสได้เจอ มีโอกาสได้สัมภาษณ์อาจารย์อีก ก็พบว่าอาจารย์ยังมีจุดยืนเหมือนเดิม แต่ชัดเจน แล้วก็มีพลังยิ่งกว่าเดิม ก็เลยกลับมาอ่านงานเขียนเก่าๆ ของอาจารย์อีก เราก็เจอตัวตนหลายๆ อย่างของอาจารย์มากขึ้น ก็ทำให้ยิ่งชอบมากขึ้น

...

ปีนี้เราทำสำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม พิมพ์พ็อคเก็ตบุ๊คของเราเองด้วย ก็เลยอยากพิมพ์ผลงานของอาจารย์ให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่อยากทำงานแบบนี้ให้ได้อ่านกัน ในแง่การตลาด การพิมพ์หนังสือเล่มนี้ต้องใช้พลังเยอะมากค่ะ เพราะร้านหนังสือบ้านเราตอนนี้ แค่พาดปกว่า “เรื่องสั้นไทย” คนขายหนังสือเค้าก็กลัวมาก ไม่มีใครอยากเอาไปวางขายในร้านหนังสือแล้วค่ะ เค้าบอกว่าเรื่องไทยขายไม่ได้ แต่ดิฉันกับทีมงานก็อาศัยลูกบ้าหลายอย่าง ในการผลักดันให้หนังสือเล่มนี้ขึ้นไปอยู่บนแผงให้ได้ ซึ่งตอนที่ตอบไฮคลาสอยู่นี้ก็ยังไม่รู้ว่าจะออกหัวออกก้อย แต่ดิฉันก็ภาคภูมิใจมากค่ะที่ได้พิมพ์ ได้นำเสนอผลงานของศิลปินท่านนี้





3.เกียวโตไดอารี่
ปาลิดา พิมพะกร

....
เล่มนี้มีความประทับใจส่วนตัวเป็นพิเศษหลายอย่าง เริ่มจากตัวคนเขียนซึ่งรู้จักกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ดูเหมือนตอนนั้นเธอยังเรียนหนังสืออยู่ แล้วก็มาเจอกันในฐานะเป็นแฟนหนังสือรุ่นแรกๆ ของ’ปราย พันแสง

....

หลังจากนั้นก็คบหากันในฐานะคนอ่านกับคนเขียนมาเรื่อยๆ ก็สนิทสนมกันประมาณพี่ๆ น้องๆ ที่ปรารถนาดีต่อกันเสมอมา ทุกครั้งที่น้องเขาไปไหนมาไหน ก็จะเขียนโปสการ์ดส่งมาให้ตลอด เป็นคนที่สม่ำเสมอมาก น้องเขาเคยรวมเรื่องของตัวเอง เป็นหนังสือทำมือ ให้เราเขียนคำนิยมให้

...

ตอนหลังน้องเข้ามาทำหนังสือ เป็นกองบรรณาธิการนิตยสาร ต่อมาก็ทำสำนักพิมพ์ของตัวเอง เราก็ยังติดต่อคบหากันมาเรื่อยๆ เจอกันบ้างตามวาระ น้องเขาเป็นคนชอบวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาก เรียนภาษาญี่ปุ่น ไปเที่ยวไปอยู่ญี่ปุ่นบ่อยมาก จนเราล้อว่าชาติก่อนต้องเป็นคนญี่ปุ่นแน่เลย จนวันหนึ่ง น้องเขาก็มีหนังสือเล่มนี้ออกมา เราอ่านดูแล้วก็รู้สึกประทับใจ ตื้นตันใจหลายอย่าง

....

จากตัวหนังสือของน้องที่เราได้อ่าน นอกจากได้ความรู้ต่างๆ มากมาย ยังเหมือนเราได้เฝ้ามองใครสักคน เห็นการเติบโต เห็นพัฒนาการของเขา ได้เห็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จากเด็กซื่อใสไร้เดียงสา เติบโตขึ้นมาเป็นหญิงสาวน่ารัก ที่มีเสน่ห์ มีความรู้หลากหลาย มีวุฒิภาวะเต็มตัว เลยเป็นการอ่านไกด์บุ๊คที่ประทับใจมากเป็นพิเศษ ทั้งที่ดิฉันยังไม่เคยไปเกียวโต แต่คิดว่าถ้าได้ไปเมื่อไหร่ ก็อยากจะไปเรียนจัดดอกไม้ในคอร์สที่น้องเขาแนะนำไว้ในเล่มนี้สักครั้งค่ะ



4.ผู้หญิงสีฟ้าครึ้มฝน
แคลร์ วัลเนียวิคซ์,วลัยภรณ์ นาคพันธ์ : แปล

...
ดิฉันเป็นบรรณาธิการหนังสือเล่มนี้ เลยมีโอกาสอ่านหลายรอบ ทุกครั้งที่อ่านก็จะได้ความรู้สึกแปลกๆ ความคิดใหม่ๆ หลายอย่าง อย่างแรกคือจำได้ว่าเมื่ออ่านรอบแรกนั้นอึ้งไปเลย ดิฉันไม่คิดว่าเรื่องสั้นฝรั่งเศสยุคใหม่จะมีหน้าตาแบบนี้ เพราะที่ผ่านมา ดิฉันจะได้อ่านเรื่องฝรั่งเศสเฉพาะที่มีคนแปลออกมาเป็นภาษาไทยเท่านั้น และหลายเล่มที่ได้อ่าน ก็จะเป็นวรรณกรรมคลาสิค หรือวรรณกรรมตามแบบแผนการเรียนการสอนวรรณคดีในมหาวิทยาลัยบ้านเรา เราจะรู้จักโกแลต บัลซัค ชาร์ต กามูส์ ซึ่งจะว่าเก่าก็เก่ามาก เหมือนเราจะไม่ค่อยได้รู้เลยว่า วรรณกรรมฝรั่งเศสร่วมสมัย ที่คนฝรั่งเศสเขาอ่านเขาเขียนกันอยู่ตอนนี้มันเป็นอย่างไร พอได้อ่านจากเล่มนี้ก็อึ้งไปอย่างที่บอก

....
ดิฉันคิดว่างานเขียนที่เป็นยุคทองของวรรณคดีฝรั่งเศส คนไทยเราคงได้อ่านกันไปหมดแล้ว เมื่อยี่สิบสามสิบปีที่แล้ว ฝรั่งเศสคงไม่ได้ผลิตนักคิดนักเขียนอย่างนั้นให้กับวงการวรรณกรรมโลกมาหลายปีแล้ว เมื่อก่อนนักเขียนฝรั่งเศสอาจจะเป็นผู้นำทางความคิด แต่นักเขียนฝรั่งเศสยุคใหม่อาจจะไม่ใช่อย่างนั้น อย่างงานของแคลร์ วัลเนียวิคซ์เล่มนี้ ดิฉันคิดว่าเธอได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอเมริกันค่อนข้างเยอะ อย่างเรื่องแรกที่เป็นชื่อเล่ม ก็น่าจะได้อิทธิพลจาก Chic Lit มาเต็มๆ เลย แต่คงเป็นเพราะเขาอยู่ฝั่งยุโรป การนำเสนอก็เลยค่อนข้างสงวนท่าที ไม่โฉ่งฉ่าง เรื่องของเขาที่ออกมาก็เลยน่าอ่านกว่า ลึกกว่า มีมิติทางวรรณศิลป์มากกว่า ก็ถือว่าเปิดมุมมองเกี่ยวกับวรรณกรรมฝรั่งเศสร่วมสมัยให้ดิฉันได้มากเลย







5. Conditions of Love
John Armstrong
....
ถ้าเจอหนังสือเล่มนี้ในร้านหนังสือ ดิฉันคงไม่มีทางชายตาแลหรือหยิบขึ้นอ่านมาแน่นอน แต่บังเอิญมีคนเอาหนังสือมานำเสนอที่สำนักพิมพ์ ให้ดิฉันซื้อลิขสิทธิ์มาแปลเป็นภาษาไทย แล้วคนที่อยากแปลงานเล่มนี้เป็นภาษาไทยนั้น ก็เป็นนักเขียนนักแปลชื่อดัง ดิฉันก็เลยแปลกใจมาก เพราะพี่เค้าไม่น่าจะสนใจอะไรแบบนี้แล้วนะ จึงสนใจว่าหนังสือมันมีดีตรงไหน

....

เมื่อได้อ่านแล้วก็ทึ่ง (อีกแล้ว) ว่ามันยังมีเรื่องที่เรายังไม่รู้ หรือคิดไม่ถึงเกี่ยวกับความรักและความสัมพันธ์ของมนุษย์เราเยอะแยะมากมายขนาดนี้เชียวหรือ อย่างที่เค้าบอกว่า ความสามารถในการ “รัก” ใครสักคนนั้น มันเป็นเรื่องที่เราได้รับการถ่ายทอดมาทางยีนหรือกรรมพันธุ์ หรือแม้แต่การเกลียดใครสักคนนั้น มันก็มีวิวัฒนาการ มีลำดับขั้นตอนของมันอย่างชัดเจน ด้วยทฤษฎีและวิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์หลากหลายมุมมอง

....
คนเขียนเป็นศาสตราจารย์ด้านปรัชญาและสุนทรียศาสตร์ ก็เลยมีบทวิเคราะห์ทั้งในเชิงจิตวิทยา วิวัฒนาการมนุษย์ รวมถึงประวัติศาสตร์สังคม มาอ้างอิงให้เราคิดตามได้อย่างรอบด้าน หนังสือค่อนข้างอ่านยากนิดนึง แล้วคนเขียนก็ไม่ได้สรุปตายตัวว่ามันอย่างนั้นอย่างนี้ เวลาอ่าน เราต้องตะล่อมหาข้อสรุปเอาเอง โดยการเปรียบเทียบกับตัวเราเองหรือเรื่องราวที่เราเคยผ่านพบ ก็ถือว่าเป็นหนังสือที่เปิดมุมคิดใหม่ๆ ได้มากที่สุดอีกเล่มหนึ่งก็เลยชอบเป็นพิเศษค่ะ


Celebrity on Web 'ปราย พันแสง จากหน้าหนังสือสู่หน้าบล็อก จากนิตยสาร E.COMMERCE ฉบับ 114 เดือน มิถุนายน 2551

'ปราย พันแสง จากหน้าหนังสือสู่หน้าบล็อก
จากคอลัมน์ Celebrity on Web
นิตยสาร E.COMMERCE
ฉบับที่ 114 เดือน มิถุนายน 2551

....................
เมื่อพูดถึงนักเขียนผู้หญิงแถวหน้าของเมืองไทย 'ปราย พันแสง จัดได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงแถวหน้านั้น สำหรับคนรักหนังสือ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรักหนังสือยุคไฮเทคที่ชื่นชอบการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์ เพราะนอกจาก ' 'ปราย ’ ติดต่อกับกลุ่มผู้อ่านผ่านทางผลงานวรรณกรรม หนังสือแปล และคอลัมน์นิตยสารต่างๆ แล้ว เธอยังมีบล็อก http://prypansang.blogspot.com ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนรักหนังสือด้วย

เริ่มต้นงานเขียนบนโลกออนไลน์
คุณปรายเล่าว่า ชีวิตงานเขียนของเธอกับโลกออนไลน์เริ่มมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว จากการใช้อีเมลในการส่งต้นฉบับ ซึ่งช่วงนั้นเขียนคอลัมน์ประจำที่นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ หลังจากใช้อีเมลในการส่งต้นฉบับทำให้เพิ่มสะดวกแก่สำนักพิมพ์มากขึ้นด้วย เนื่องจากไม่ต้องพิมพ์ซ้ำเพื่อตีพิมพ์อีกรอบ แต่ด้วยช่วงนั้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเมืองไทยยังไม่ดีเท่ากับตอนนี้ บางครั้งส่งงานไปให้สำนักพิมพ์ แต่ไม่สามารถเปิดไฟล์งานได้ ทำให้เกิดปัญหากับการส่งต้นฉบับ
..............
เมื่อเจอปัญหามากขึ้นในการส่งต้นฉบับ จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้การทำงานสะดวกมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นใช้อีเมลของ Yahoo และบนหน้าเว็บไซต์มีการโปรโมตเว็บไซต์ geocities ให้ใช้พื้นที่สำหรับสมาชิกของ Yahoo จึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก เพื่อขอใช้พื้นที่ฟรีที่เว็บไซต์นี้ในการอัพโหลดต้นฉบับใส่ไว้บนเว็บไซต์สำรองไว้ หากมีปัญหาในการส่งต้นฉบับทางอีเมล ทางสำนักพิมพ์จะสามารถเข้ามาอัพโหลดไฟล์งานจากเว็บไซต์นี้ได้
.........
หลังจากไม่ได้นำต้นฉบับไปอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์ geocities แล้ว ทำให้พบว่ามีคนสนใจเข้ามาอ่านต้นฉบับบนเว็บไซต์ เพราะมีอีเมลจากคนอ่านที่ต่างประเทศส่งถามว่าทำไมช่วงนี้ไม่นำงานเขียนอัพโหลดขึ้นมาให้อ่านบ้าง ทำให้เริ่มรู้สึกว่าการเขียนการอ่านในโลกออนไลน์นั้นเป็นการสื่อสารไร้พรมแดนจริงๆ
........
ต่อมาสังคมอินเทอร์เน็ตในไทยเริ่มเว็บไซต์ข่าวสารต่างๆ มากขึ้น มีเว็บไซต์มาขอต้นฉบับไปลงในเว็บไซต์ให้อ่านฟรี จึงตัดสินใจคัดเลือกต้นฉบับที่ตีพิมพ์ลงนิตยสาร และเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เงินค่าเรื่อง (ขำ) แต่ก็ได้เห็นผลดีของการนำงานเขียนเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพราะคนรู้จักเราผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ระยะไม่นานก็มีแฟนประจำเกือบเท่ากับในคอลัมน์ที่มติชนสุดสัปดาห์เลย
...........
นอกจากนี้ยังพบข้อดีของการเผยแพร่ผลงานของเราบนอีกอย่างโลกออนไลน์คือ เมื่อคนอ่านที่ชอบผลงานของเรา เขาจะทำการส่งต่อไปยังเพื่อนๆ ในสังคมออนไลน์ของเขา ซึ่งช่วยให้ผลงานของเราได้รับการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว และมีคนรู้จักเยอะขึ้นมาก ทำให้เห็นถึงอานุภาพของอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง
........
จากปรากฏการณ์ของการตอบรับจากแฟนหนังสือบนเว็บไซต์ ทำให้อยากทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองในการรวบรวมงานเขียน หรือเรื่องราวต่างๆ ของเราเองให้คนอ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ก็พบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบที่จ้างให้คนทำให้ จนตัดสินใจไปเรียนทำเว็บไซต์เพื่อที่จะได้มาออกแบบเว็บไซต์เอง เผื่อจะโดนใจมากกว่าให้เขาทำให้ (ยิ้ม) แต่หลังจากเรียนจบ มีงานเขียนเข้ามาค่อนข้างมาก สรุปเว็บไซต์ที่ตั้งใจไว้ก็ไม่ได้เกิด หลังจากนั้นก็ลองใช้ทั้งเว็บไดอารี่ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่แบบที่อยากได้ ต่อมามีบล็อกเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ลองใช้เพราะคิดว่าน่าจะเหมือนไดอารี่
.........
แต่จุดเปลี่ยนในการได้นำงานเขียนมาสู่โลกออนไลน์เต็มตัวเนื่องจากช่วงเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด 9 กันยายน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช็อกโลก ทำให้ต้องติดตามข่าวต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต เพราะอัพเดตเร็วกว่าช่องทางอื่น และเจาะลึกกว่าในหน้าจอทีวีหรือหนังสือพิมพ์ที่เมืองไทย ช่วงนั้นเข้าไปอ่านบล็อกเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นบล็อกของคนอเมริกันที่แสดงความรู้สึกของเขาต่อเหตุการณ์นี้ บางคนอยู่ในเหตุการณ์และหนีรอดมาได้ เขาก็มาเขียนเล่าว่าเกิดอะไรบ้าง หลากหลายคนมาเล่า ทำให้เวลาอ่านรู้สึกเหมือนนิยายสืบสวนสอบสวนดีๆ เรื่องหนึ่งเลย
.........
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของบล็อกกับไดอารี่ออนไลน์ หลังจากนั้นได้มาลองเปิดบล็อกเป็นของตัวเองบ้าง และทดลองใช้บล็อกต่างๆ แต่รู้สึกว่าบล็อกคนไทยจะมีโฆษณาเยอะ ช่วงหลังจึงมาใช้บริการของ Blogger (http://prypansang.blogspot.com) ซึ่งมีผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านกันพอสมควร
.........
ตอนนี้คุณปรายมีเว็บไซต์ที่เผยแพร่ผลงานกี่เว็บไซต์คะ?
หลักๆ ในการเผยแพร่งานเขียนชิ้นใหม่ๆ จะอยู่ที่บล็อก http://prypansang.blogspot.com และที่บล็อก http://prypansangbooks.blogspot.com ที่ทำไว้เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพ็อกเก็ตบุ๊กต่างๆ ซึ่งมี 20กว่าเล่ม แล้วมีบล็อก http://prypansangclipping.blogspot.com เอาไว้เก็บข่าวเก็บเรื่องราวที่มีคนอื่นเขียนถึงหนังสือหรือผลงานของเรา เพราะก่อนหน้านี้เก็บใส่แฟ้มไว้ที่บ้าน ก็หายบ้าง ลืมไปบ้าง แต่พอมารวมไว้ในบล็อกเป็นที่เป็นทางก็ดูจะเข้าที่ดี คนอื่นที่ไม่เคยอ่านก็สามารถคลิกเข้ามาอ่านได้ด้วย ทำให้ข่าวสารต่างๆ ไม่สูญหายไปไหน ยังมีคนได้อ่านได้เห็นมันอยู่เรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีบล็อกสำหรับเก็บเพลง เก็บภาพถ่าย เก็บอะไรต่อมิอะไรแยกต่างหากไว้อีกเยอะแยะ
.......
การใช้ประโยชน์บนโลกออนไลน์ในบทบาทของนักเขียนเป็นอย่างไร?
ช่วงหลังมานี่เลิกเขียนประจำในนิตยสารต่างๆ เพราะงานประจำหนักมาก เนื่องจากออกมาตั้งสำนักงานของตัวเอง (หุ้นกับพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ) ที่ต้องเลิกเขียนประจำลงนิตยสารเพราะบางทีงานประจำของเราไม่สามารถควบคุมเรื่องเวลาได้ แต่ตัวเราเองก็ยังมีเรื่องที่อยากเขียนอยู่ จึงใช้บล็อกนี่แหละเอาไว้เผยแพร่งานเขียน เพราะสามารถเข้ามาเขียนเมื่อไรก็ได้ เมื่อเขียนไปสักระยะก็จะคัดเรื่องที่เขียนลงบล็อกเอามารวมเล่มได้ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าประโยชน์หรือกระบวนการของมันก็ไม่ต่างจากการเขียนประจำลงนิตยสารแต่อย่างใด เพียงแต่จะสะดวกเรื่องเวลาทำงานมากกว่าเท่านั้น ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากค่ะ
..........
ที่นักเขียนมีบล็อกเป็นของตัวเองเป็นผลดีมากน้อยแค่ไหน?
คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการเผยแพร่ความคิดหรือผลงานของนักเขียนนะคะ ส่วนตัวพี่เองมีผลดีและเป็นประโยชน์มาก เพราะบล็อกเป็นสื่อกลางให้ตัวเราได้พบปะกับคนอ่านได้ตลอดเวลาที่แต่ละคนพร้อม นอกจากนี้ยังมีคนอ่านรุ่นใหม่ๆ เข้ามารู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้มีคนอ่านผลงานของเราทั้งนักอ่านหน้าใหม่และหน้าเก่าเลยค่ะ
.........
ปัจจุบันนักเขียนเริ่มมาสร้างพื้นที่ในโลกออนไลน์ไว้เผยแพร่ผลงาน บทวิจารณ์ และติดต่อกับผู้อ่านมากขึ้น คุณปรายมองอย่างไรคะ?
พี่ว่ามันดีมากเลยค่ะ ถือเป็นช่องทางใหม่ๆ ที่สะดวกมาก สำหรับคนที่มีความสามารถจะได้โชว์ฝีมือ พี่เข้าไปอ่านในบล็อก ในเว็บไซต์บางแห่ง เขียนดีมาก เขียนดีกว่าเรื่องที่เราได้อ่านในหนังสือแพงๆ บางฉบับด้วยซ้ำไป อย่างบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่บทวิจารณ์ในหนังสือภาพยนตร์โดยตรงแล้วพี่อ่านไม่ได้เลยนะ เพราะเป็นแค่รีวิวสั้นๆ ตามใบปลิวประชาสัมพันธ์ของบริษัทหนัง เจอบ่อยๆ แบบนี้ก็ขี้เกียจอ่าน แต่พวกบทวิจารณ์หนังในบล็อก ในเว็บไซต์ต่างๆ ยังตามอ่านอยู่ บางคนเขียนดีมากเลย มีการหาข้อมูล ความรู้แน่น ตอนหลังพอเขียนบล็อกเยอะๆ ก็มีคนขอไปทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค พี่ว่ามันดีมากเลยนะ นอกจากดีสำหรับคนเขียนแล้วก็ยังดีสำหรับคนอ่านด้วย
............
สำหรับเว็บฯ http://prypansang.blogspot.com/ เป็นเว็บฯ หลักในการติดต่อสื่อสารกับคุณปรายใช่ไหมคะ คอนเทนต์ในเว็บฯ นี้จะเป็นคอนเทนต์พิเศษที่ทำขึ้นมาเฉพาะใช่ไหม?
ใช่ค่ะ ตอนนี้เป็นสื่อหลักเลย ตั้งใจเขียนขึ้นใหม่สำหรับบล็อกนี้โดยเฉพาะเลย แต่บางครั้งงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดต นานๆ พี่ก็จะเอาเรื่องเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้มาลงสลับบ้าง เพราะเกรงใจคนที่คลิกเข้ามาอ่านบ่อยๆ แล้วไม่เจออะไรใหม่ๆ บ้างเลย อย่างงานเก่าๆ บางชิ้นหลายคนก็ไม่เคยอ่านนะคะ แบบว่าเกิดไม่ทันทำนองนั้น (ขำ) แต่พอเอามาลงทีไรก็ได้รับการตอบรับดีทุกครั้ง
...........
เนื้อหาที่คุณปรายเขียนบนเว็บไซต์จะมีไปตีพิมพ์เป็นหนังสือไหมคะ?
มีค่ะ ออกมาแล้ว 1 เล่ม ชื่อ “คาเฟ่เสน่หา” เนื้อหาบางส่วนในเล่มนี้นำมาจากบล็อกค่ะ แต่ตอนตีพิมพ์เป็นหนังสือก็จะมีการเรียบเรียง ขัดเกลา เพิ่มเติม ตัดทิ้งบ้าง เพราะตอนเราเขียนบล็อกเราเขียนสดๆ พอมาตรวจแก้ทีหลังก็ต้องมีการปรับปรุงให้ลงตัวขึ้น
........
มองอย่างไรคะหากวันหนึ่งกระแสการอ่านเรื่องสั้น นวนิยาย บนเว็บไซต์ซึ่งสามารถอ่านได้ฟรี ได้รับความนิยมมากกว่าการไปซื้อหนังสือ คิดว่ามีผลกระทบกับนักเขียนที่ทำผลงานออกมาเป็นตัวเล่มขายหน้าร้านไหมคะ?
ถ้าคนเลิกซื้อหนังสือหมดคงกระทบนักเขียนแน่ๆ ค่ะ แต่ถ้าคนหันมาอ่านออนไลน์กันหมด ถ้าไม่พิมพ์หนังสือกันแล้ว ต่อไปเวลาจะอ่านอะไรออนไลน์อาจจะต้องจ่ายเงินก่อนอ่านมากขึ้นนะคะ อย่างหลายๆ เว็บไซต์ที่ให้จ่ายเงินเป็นสมาชิกก่อนถึงจะได้อ่าน สำหรับพี่ยอมรับได้นะ เพราะคิดว่าโลกมันเปลี่ยน ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว และเมื่อมันเปลี่ยนไปถึงจุดหนึ่ง ในจุดนั้นมันก็ต้องหาสมดุลของตัวเองได้เหมือนกัน
......
ในอนาคตคุณปรายคิดวางแผนขายคอนเทนต์บนเว็บไซต์ไหมคะ?
ถ้าคนเลิกซื้อหนังสือกันหมดคงต้องคิดเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้หนังสือยังขายได้เรื่อยๆ คอนเทนต์บนเว็บฯ ก็เลยไม่ซีเรียสเท่าไรค่ะ เพราะโดยส่วนตัวก็ยังอยากให้การเขียนบล็อกเป็นอิสระจากธุรกิจไปเรื่อยๆ ถ้าต้องขายคงต้องเกร็งแน่ๆ เลยเวลาจะเขียนอะไรลงบล็อกแต่ละชิ้น แต่ตอนนี้คนอ่านฟรีไงคะ ก็เลยเขียนอะไรก็ได้ตามใจ สบายใจ ไม่เครียด ไม่เกร็ง แต่ขออย่างเดียวอ่านแล้วทิ้งคอมเมนต์ไว้ให้บ้างเท่านั้นก็ดีนะคะ (ยิ้ม)
....
สุดท้ายนี้อยากให้คุณปรายฝากผลงานที่ออกมาในปัจจุบัน และเว็บไซต์ที่สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณปรายได้ค่ะ
ผลงานพ็อกเก็ตบุ๊กล่าสุดตอนนี้ก็มี “คาเฟ่เสน่หา” เป็นรวมบทความคัดสรรของ “ปราย พันแสง” ชุดล่าสุด กับงานบรรณาธิการเรื่องแปล “ร้านชำสำหรับคนอยากตาย” ค่ะ ถ้าสนใจจะแวะเวียนไปอ่านไปชม หรือแวะเข้าไปพูดคุยกันได้ที่บล็อก http://prypansang.blogspot.com/ นะคะ
....

คงจะเป็นการอ่านรอบที่สาม โบยบินแล้วไม่หวนคืน

นี่คงจะเป็นการอ่านรอบที่สาม
โบยบินแล้วไม่หวนคืน
"บางเรื่องราว มีกลิ่นหอมหวาน น่ารัก บางเรื่องสื่อถึงความจริงบางอย่างที่บางครั้งเราเกือบลืมเลือนมันไป"
จาก บ้านนู๋หวีด
....
หลังจากอ่าน "ความรักเจ้าขา" จบไปตั้งแต่ต้นเดือน เราก็เริ่มมีอาการ อยากอ่านหนังสือ ต่อไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาก็คือ ไม่รู้ว่าจะอ่านเรื่องอะไรต่อดี หนังสือที่ซื้อมาตอนปลายปีที่แล้ว 8-9 เล่มและยังไม่ได้อ่านก็ไม่ยอมหยิบออกมาอ่านซักที อืม...ม ให้มันได้อย่างนี้สิ งงกับตัวเองจริงๆ
........
อยากอ่านหนังสือแต่ไม่รู้จะอ่านอะไรดี ทุกวันก็ได้แต่หยุดยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ เอื้อมมือออกไปและหยุดชะงักอยู่แค่นั้น ไม่ยอมหยิบหนังสือมาอ่าน
....
ไม่รู้สินะ มันเหมือนกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะอ่านหนังสือที่ตัวเองมีอยู่ เหมือนหนังสือแต่ละเล่มมีช่วงเวลาของมัน เวลาแบบนี้ ช่วงนี้ ต้องเรื่องนี้...เหมือนๆกับการฟังเพลงมั้ง อารมณ์เหงาๆต้องเพลงนี้ อารมณ์ดีต้องเพลงนี้ จังหวะนี้ อะไรประมาณนั้น
.........
นั่งรอหนังสือที่เพื่อนรักบอกว่าจะส่งมาให้ รอ...ร๊อ...รอ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณเธอจะส่งมาซักที บอกจะส่งของขวัญ(หนังสือ)มาให้ตั้งแต่หลังสงกรานต์จนบัด now ของขวัญวันเกิดเราก็ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ณ.เชียงใหม่ เหอๆ บ่นมากไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนคุณเธอกัดจิกกลับมา เจ็บตัวเปล่าๆ
...........
"ทีของขวัญวันเกิดช้านแกยังดองข้ามปี นี่ชั้นดองของขวัญแกไม่ถึงเดือนทำบ่น" แหะๆ...ก็เราไปดองของเค้าก่อนนี่นา....เอาวะ ร้องเพลงรอต่อไป จนกว่าคนข้างๆคุณเธอจะมีเวลา และเห็นใจสาวสวยน่ารักคนนี้ว่าร้องเพลงรอหลายรอบจนเสียงแห้งมานานพอควรแล้ว
.............
ตอนนี้เลยต้องหาซื้อ Magazine มาอ่านแก้ขัดไปพลางๆก่อน (จริงๆซื้อมาแทบไม่ได้อ่านเลย นั่งเปิดๆดูจนหมดเล่มแล้วก็โยนทิ้งไว้อย่างนั้น) เมื่อวานก็ไปซื้อมา 3 เล่ม (เอากะมานสิ เหอๆ) ทีแรกคิดว่า 3 เล่มนี้คงอ่านได้ 2-3 วัน แต่ที่ไหนได้ พอดึกๆ Magazine ทั้งหลายก็จรลีไปอยู่ข้างเตียงหมด (ไม่มีอารมณ์อ่านง่ะ) อยากอ่านหนังสือๆๆๆๆ...ลุกไปหาหนังสือมาอ่านดีกว่า...

.

.

"อ่านอะไรดีหว่า" บ่นกับตัวเอง สายตาก็ไล่ไปตามหนังสือบนชั้นวางหนังสือสีเขียวสดอย่างช้าๆ
....เทพนิยายกรีก...อ่านแล้ว
....เทวดาฝรั่ง....อยากอ่าน แต่ไว้ก่อน...
....บุหลันแรม...นกไม่มีปีก...ท่าทางจะหนักไป..ผ่าน...
....เม้าท์แม่....อ่านแล้ว
Love letter...เพิ่งอ่านจบ...

..............
เล่มไหนดีหว่า??......"เอาเล่มนี้ละกัน" ฉันดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น...หนังสือหน้าปกสีเขียวใสเย็นตา ไม่หนามาก "โบยบินแล้วไม่หวนคืน (เรื่องส่วนตัว) 'ปราย พันแสง" นี่คงจะเป็นรอบที่ 3 แล้วที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ เปิดอ่านอีกทีก็ยังคงชอบเรื่องราวต่างๆภายในเล่มที่พี่ปรายเขียน มีทั้งเป็นบทกลอน บทความ..เรื่องสั้น บทสัมภาษณ์ เรื่องส่วนตัวของคนเขียน บางเรื่องราว มีกลิ่นหอมหวาน น่ารัก บางเรื่องสื่อถึงความจริงบางอย่างที่บางครั้งเราเกือบลืมเลือนมันไป
.........
เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างตั้งใจไปสักพักใจก็เริ่มคิดสงสัย ชื่นชม และแอบอิจฉาขึ้นมานิดๆว่าทำไมเค้า (นักเขียน) ถึงได้เขียนอะไรๆได้ดีจัง...สั้นๆ ง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมาย แง่คิดมากมาย
...........
ไอ้เราอยากเขียนได้แบบเค้ามั่ง นั่งเขียน นั่งพยายามแทบตายกลับเหลวเป๋วไม่เป็นท่าไปซะทุกที ที่เขียนไปวันๆก็ได้อยู่แค่นี้ เขียนออกมาแบบตรงๆ ทื่อๆ คิดยังไงก็เขียนอย่างนั้น ขัดเกลาถ้อยคำให้สละสลวยแบบคนอื่นไม่เคยได้ซักที บางครั้งเขียนเสร็จก็นั่งอายตัวเองอยู่เหมือนกันว่าชั้นเขียนอะไรไปนี่ เหมือนกับแค่มานั่งบ่นๆให้คนอื่นอ่านเลย...เฮ้อ...

........
เอาน่าๆ ไม่เป็นไร ถึงเราจะเขียนให้ใครๆคิดตามได้ไม่ดีนัก แต่เราก็รักที่จะคิดตามในสิ่งที่ใครๆ เขียนละกันน่า ^ ^

ลูกหลานของมูราคามิ


ลูกหลานของมูราคามิ


จากบล็อก opera.com ห้วงคำนึงของหุ่นกระป๋องตัวหนึ่ง




มีประชากรนักเขียนนับหัวกันแล้วในประเทศนี้ อาจไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด
.........
หากนับด้วยฐานะของรายได้ที่บุคคลผู้เรียกตัวเองว่านักเขียนนั้น หาได้จากงานเขียนของตัวเองจริงๆ
.........
“แกลองคิดดูสิ ถ้านักเขียนเท่าที่มีอยู่น้อยนิด พากันเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง อาทิเช่น เหตุไฉนหนอ ตูข้าถึงมาเป็นนักเขียน แล้วตูข้าจะฟันฝ่าสถานะของความล้มเหลวในผลงานที่วางอยู่บนความฝันที่สั่นคลอนได้อย่างไร มันคงจะน่าเบื่อพิลึกนะ ที่ทุกคนพากันเขียนเกี่ยวกับตัวเอง เพราะกรอบของคำว่า จงเขียนสิ่งที่คุณรู้ดีที่สุด มันครอบอยู่”
............
มันอีกแล้วครับทั่น เจ้านายผมมันเริ่มบ่นตามประสาอีกแล้ว หลังจากอ่านหนังสือ HARUKI STUDY BOOK MURAKAMI
..........
หรือฉบับแปลในชื่อภาษาไทยว่า ศาสดาเบสต์เซลเลอร์ ของ ‘ปราย พันแสง
.........
หนังสือเล่มนี้เปลื้องเปลือยชีวิตของนักเขียนผู้เปรียบเสมือนหลักปักหมุดให้กับงานเขียนสมัยใหม่ หลังยุคสงครามเย็น
..........
ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการแสวงหาตัวตน
..
ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง อาศัยฟังเอาจากเจ้านายก็พอจับน้ำเสียงแกมอิจฉาของพี่แกได้ว่า
งานเขียนของมูราคามิ ในทัศนะของเคนซาบุโร โอเอะ ที่เป็น ภาพจำลองอนาคตญี่ปุ่นที่สะเปะสะปะไร้ทิศทาง นั้น มันมีอิทธิพล มันมี “อะไร” มากกว่าแค่การพร่ำบ่นถึงชีวิตของนักเขียนหนุ่มคนหนึ่ง ที่พยายามอย่างยิ่งในการเติมเต็มชีวิตอันว่างเปล่าไร้ทิศทาง ด้วยการดวลเบียร์เข้าไปจนเต็มกระเพาะ ตลอดฤดูร้อน
.............
“คุณและค่าของการที่นักเขียนคนหนึ่ง หรือคนที่กล้าเรียกตัวเองด้วยคำนั้น จรดพรมมือลงบนแป้นพิม์
เขียนแต่สิ่งที่เป็นส่วนตัวเอามากๆ อย่างชีวิตตัวเองลงในสิ่งที่เรียกว่า นิยาย นั้น วัดกันจากอะไร ?”
............
ผมอ้าปากหวอ สารภาพกับตัวเอง (โดยไม่กล้าเอ่ยกับเจ้านาย) ว่า กูก็ไม่รู้ (โว้ย !)
...........
เราวัดด้วยอะไรเหรอ ? จากงานเขียนชิ้นหนึ่ง
...........
สงครามและสันติภาพ ของทรอสทรอย มีคุณค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า กลาย ของฟรันซ์ คาฟคา

“แกลองคิดดูสิ ถ้านักเขียนทุกคนในประเทศนี้ พากันเขียนเกี่ยวกับเรื่องของนักเขียนอีกคนในตัวเอง เราจะมีวรรณกรรมแบบไหนบนชั้นหนังสือ ฉันก็ไม่ได้อยากชี้นิ้วโบ้ยไปที่มูราคามิหรอกนาโว้ย
แต่เราหมกมุ่นอยู่กับการค้นหา ตั้งคำถาม รื้อคำตอบ สร้างคำถามชุดใหม่ พิสูจน์สมมุติฐานจากทฤษฎีที่เราก็ไม่ได้เชื่อมั่นอะไรนักหนา เพื่ออะไรวะ ? เพื่อบอกคนอ่านในหน้าสุดท้ายว่า ขอโต๊ด งานเขียนชิ้นนี้เป็นเรื่องของนักเขียนคนหนึ่งคร้าบบบ”
...........
เราอยู่ในยุคที่ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนจริงๆ หรือแค่เราแสแสร้งแกล้งทำ เพราะมันทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นๆ กันแน่ ?
...........
ผมครุ่นคิดเรื่องนี้ เท่าที่สมองผุๆ ขึ้นสนิมของผมพอจะนึกออก
การปะทะของสองยุคสมัย
การวิพากษ์และวิจารณ์คนรุ่นใหม่ของคนรุ่นก่อน
เกิดและดำเนินไปอย่างคู่ขนานมาเสมอ ไม่ว่าในยุคสมัยไหน
แต่เสรีภาพแบบไหนกัน ที่เราปรารถนา
เราจะพากันเดินดุ่มๆ ในความมืด มีแสงจากไฟแช็คราคาถูกเพื่อส่องนำทาง
แล้วหลอกตัวเอง ว่านั่นถือวิถีของกบฎงั้นหรือ ?
.............
เพื่ออะไร ?
............
รอยทางของคนรุ่นก่อนที่ปูไว้ มันน่ารังเกียจ กระทั่งชวนให้ขยะแขยงถึงขั้นภาคเสธรากเหง้าตัวเองเชียวหรือ ?
......
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเรากลายเป็นคนรุ่นก่อน แล้วหันหลังกลับไปมอง คนรุ่นหลังที่กำลังก้าวตาม
กลับพบว่า มันเอาแต่ออกนอกลู่ เอาแต่ชมนก ชมไม้ เราจะเดินไปเบิ๊ดกะโหลกมันสักเผียะดีไหม ?
...........
มันน่าคิดนะ
............
คำถามเรื่องคนแต่ละรุ่น มันโยงกลับไปสู่คำถามข้างบน ถึงคุณและค่าของการเขียนที่เจ้านายผมยึดถืออยู่
ทั้งสองคำถามนี้ มันทำให้ผมนึกวลีเก่าแก่ (มั้ง) ที่พูดว่า
............
“ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร แต่สิ่งที่คุณทำต่างหากจะเป็นตัวบอก”

Oh ! yeh

ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีิวิต


ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีวิต

14 เมษายน 2551
................
ปกติแล้วผมไม่นิยมซื้อหนังสือเล่มเดียวกันสองครั้ง
.........
หากจะซื้อก็เป็นเพราะจำไม่ได้ว่าเคยซื้อไปแล้ว ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง
..........
วันนี้ผมซื้อหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าจำไม่ได้ แต่ผมจำได้แน่นอนว่าเคยซื้อไปแล้ว คิดว่าหนังสือคงซุกอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้อง
.........
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะ ชื่อของมันบังเอิญตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนั้นพอดี
.....
ฉันเกลียดเธอฉันรักเธอ…ชีวิต
หนังสือของ
พี่’ปราย พันแสง
.........
ผมเห็นเธอกับเขานั่งสวีทหวานอยู่ในร้านกาแฟ เธอนั่งเอนตัวไปพิงเขา เขาเองก็เอามืออ้อมไปโอบตัวเธอไว้ เธอกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ส่วนเขาก็นั่งมองดูเธอด้วยท่าทีสบายๆ
...........
ผมและเธอเคยมานั่งทานกาแฟที่นี่ด้วยกันบ่อยครั้ง ผมก็เคยนั่งมองเธออ่านหนังสือด้วยสายตาเช่นเดียวกันกับเขากำลังทำอยู่นี้
.........
ใช่ ผมจำได้ว่าเธอเคยยืม “ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ …ชีวิต” เล่มแรกที่ผมซื้อไปอ่าน และเธอก็เอาทุกอย่างที่ยืมไป รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ มาคืนผมในช่วงที่เธอกำลังเปลี่ยนไปรักกับเขา
..........
วันนี้ผมตั้งใจไปทานกาแฟอร่อยๆ ที่ร้านนี้สักแก้ว แต่ก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจ แล้วพาตัวเองย้ายไปร้านอื่นแทน
..........
ผมเดินจากมาด้วยความมึนงง และพยายามทำความเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนจะถึงร้านกาแฟผมแวะที่ร้านหนังสือ แล้วก็บังเอิญไปเห็นปกหนังสือเล่มนี้
...........
ใช่แล้ว … ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีิวิต
..........
มันเป็นเช่นเดียวกับที่พี่’ปรายได้เขียนเอาไว้ในหน้าแรกๆ แต่ขอดัดแปลงต้นฉบับให้เป็นเวอร์ชันส่วนตัวว่า “เธอเป็นคนที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป เธอทำให้ผมเป็นเกินกว่าที่เคยเป็นได้“
..........
แต่ผมก็หวังไว้ว่า เธอจะผ่านมา และจะผ่านพ้นไปจากใจผมในสักวันหนึ่ง
ผมยังหวังไว้อีกว่า เธอจะได้ทุกอย่างสุขสมใจ และที่สำคัญขอให้เธอรักเขามากกว่าตัวเธอเอง

ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานเสียจริง

ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ



“ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ”
จากบล็อก mailonoon

คิดถึง...ระลึกถึง นึกถึง
‘ปราย พันแสง : เขียน / สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม / 195 บาท
............
“ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ”
.........
ประโยคข้างต้น ฉันบอกกับเพื่อนคนหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้ก็คือ หนังสือคัดสรร 15 เรื่องสั้นกว่าทศวรรษของ ‘ปราย พันแสง
.....
คิดถึง...ระลึกถึง นึกถึง คือหนังสือเล่มที่ว่า
........
สำหรับใครที่เป็นแฟนตัวหนังสือของ ‘ปราย พันแสง จะรู้ว่า ตัวอักษรอันสวยงามที่ร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราวต่างๆโดยนักเขียนคนนี้ นั้นเป็นอย่างไร ส่วนนักอ่านหน้าใหม่ (ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น) ที่คิดอยากสัมผัสความสวยงามของตัวอักษร หนังสือเล่มนี้จะพาไปพบความสวยงามจากเรื่องราวต่างๆ ที่ได้คัดสรรเรื่องสั้นในรอบกว่าทศวรรษ เพื่อคุณโดยเฉพาะ
............
เรื่องสั้น 15 เรื่อง ที่ลงตีพิมพ์ต่างกรรม ต่างวาระ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความสวย ความอบอุ่น หลายครั้งที่งานร้อยแก้วของ ‘ปราย พันแสง ตัวอักษรจะร้อยเรียงออกมา เหมือนกับว่าเราได้อ่านร้อยกรองก็ไม่ปาน และบ่อยครั้งที่เรื่องสั้นเหล่านั้น เรียกความคิดถึง ระลึกถึง และนึกถึง ความรัก หรือเหตุการณ์อดีตอันแสนหวาน จนเรียกน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
............
ในความเป็นจริง เหตุการณ์ และการกระทำต่างๆของคนเรา จะถูกทำให้เลือนหายไปด้วยกระแสของเวลา ไม่ว่าเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆจะเป็นเรื่องน่ายินดี หรือน่าเศร้าสลด ไม่นานหลังจากมันเกิดขึ้น เราก็จะลืมมันไปเสีย
..........
ความรักก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่เราอยากลืมความรักที่ไม่สมหวัง แต่บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่คนรอบข้างของเรามีความสุขและจดจำความรักนั้น ตัวอักษรและเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ฉันคิดถึง ระลึกถึง และนึกถึง คนรักในอดีต ความรู้สึกของมนุษย์นั้นช่างน่าอัศจรรย์นัก เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด ณ แห่งหนไหน เราก็จะนึกถึงอดีตความรักอยู่เสมอ เหมือนในบางส่วนบางตอนจากหนังสือเล่มนี้…
........
‘...คุณอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ลองไปที่อื่นบ้างแล้วไง
เราอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ทำไมคุณยังไม่ไปไหน
ไม่อยากเชื่อเลยว่าตอนนี้เราจากกันแล้ว
คุณอยู่ไหน ใจฉันอยู่ไหน?...’

บางครั้งฉันและ หรือมนุษย์คนอื่นที่มีเลือดเนื้อก็ทำตัวแปลก เพราะยังคิดถึง ระลึกถึงและ นึกถึง ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเจ็บปวดไม่กายก็ใจ หรือเจ็บปวดทั้งสองอย่าง มนุษย์คนอื่นเจ็บปวดเพราะความคิดถึง ฉันไม่รู้เหตุผล แต่สำหรับฉันเห็นด้วยกับในหนังสือเล่มนี้ ที่ว่า
.........
‘ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ใครจะคิดถึงใครหรือเปล่า-ไม่สำคัญ เพราะช่วงเวลานาทีที่เราเคยมีกันนั้น โลกมันก็ดีมากพอแล้ว’






1 Comment
ChronologicalReverseThreaded
replyforevermind wrote on Jan 28
เห็นด้วยเลยค่ะ ชอบงานของ 'ปราย เหมือนกัน
เล่มนี้เพิ่งซื้อมา ยังอ่านได้ไม่มาก แต่ก็ชอบมากจริง ๆ

หวานชื่นกับตัวหนังสือ เหมือนลูกโป่งในอากาศ





ยอมรับตรงๆว่าครั้งแรกที่หยิบหนังสือเล่มนี้ขึ้นมาเพราะชื่อของนักเขียน…’ปราย พันแสง ครั้นพอพลิกอ่านปกหลัง...ตัวอักษรที่เรียงรายอยู่ด้านท้ายสุดของปก ทว่าใหญ่โตโดดเด่นที่สุด “บางมนุษย์ไม่เกรงกลัวสิ่งใด และไม่อยากเป็นผู้ชนะอีกต่อไปแล้ว”
.......
จริงเหรอ...มันชวนให้ไม่อยากเชื่อ...ก็มีใครบ้างไม่อยากเป็นผู้ชนะ
........
ไล่สายตาขึ้นไปเรื่อยๆ(เป็นวิธีการอ่านที่ผิดปกติสักหน่อย) เป็นข้อความที่คัดมาจากในเนื้อเรื่องตามที่เคยเห็นในปกหลังของหนังสือทั่วๆไป “ในบางนาทีที่โลกเอียงให้เราใกล้กัน ในฉับพลันที่เรามีกัน ก็ได้แต่ฉงนฉงายว่าก่อนหน้านี้ เรามีชีวิตอยู่ในโลกนี้มาโดยไม่มีกันได้อย่างไร”
..............
ในนาทีแรกแห่งความรักของคุณ(ไม่ว่าจะรักครั้งไหนก็ตาม)...เคยรู้สึกอย่างนี้บ้างไหม ถัดขึ้นไปอีกนิดในหัวข้อ...รักแรก... “เวลาที่เราเริ่มรู้จักเปรียบเทียบนั้น มันหมายถึงเรากำลังมีความรัก” จริงเร้อ...ถามตัวเองด้วยเสียงสูงๆอยู่ในใจ จนถึงตอนนี้อดคิดไม่ได้ว่า ตัวเองทำหน้านิ่วคิ้วขมวดกับปกหลังของหนังสือนานเพียงใด และมีใครในร้านหนังสือแอบคิดไหมว่า...ท่าทางยัยนี่จะบ้า...
...............
เพียงปกหลังก็พอจะเดาได้ว่าเนื้อเรื่องในหนังสือเกี่ยวกับอะไร...ถ้าเดายังไม่ได้หรือบางคนบอกไม่อยากเดาเพราะไม่ใช่ข้อสอบ(ซะงั้น คำพูดนี้ไม่ได้คิดเองแต่มีคนอ่านนิยายคนหนึ่งบอกไว้ ว่าเธอไม่อยากเดาตอนจบเลยว่าใครคือพระเอกเพราะนี่ไม่ใช่ข้อสอบ อดคิดไม่ได้ว่า ถ้าเป็นข้อสอบคงตั้งใจเดาแบบสุดๆ เลยสิ แต่ตอนเดาคงลำบากใจไม่น้อย คุณว่าจริงไหม)
.........
บันทึกการเดินทาง ระหว่างความรัก ดอกไม้ และไกลห่าง นั่นคือเรื่องราวในหนังสือที่โปรยไว้หน้าปกขาว-ดำ และตัวอักษรสีฟ้าที่อ่านได้ว่า...มนุษย์ดอกไม้พันห้าร้อยปี...ชื่อหนังสือ หากได้เคยอ่านหนังสือของ ’ปราย พันแสงมาบ้างแล้ว อาจจะเคยรู้สึกหวานชื่นกับตัวหนังสือของเธอ เคลิบเคลิ้มเหมือนลูกโป่งที่ลอยขึ้นไปในอากาศ แล้วจู่ๆตัวอักษรของเธอก็เปรียบเสมือนเข็มเล่มเล็กที่ทิ่มแทงจนลูกโป่งดิ่งลงสู่พื้น อาจจะดูเป็นการเปรียบเทียบที่ดูเว่อร์ไป แต่ความรู้สึกของคนอ่านแต่ละคนไม่เหมือนกัน และแม้แต่หนังสือเล่มเดียวกัน คนอ่านคนเดียวกัน ต่างกันเพียงช่วงเวลาก็ยังรู้สึกได้ต่างไป
.............
เรื่องแรก...น้ำตามิใช่ความโศกเศร้าที่แท้จริง...คุณจะซึ้งกับความรักของชายแก่ที่มีต่อเด็กชายคนหนึ่งซึ่งน่าจะเป็นหลาน แล้วคุณก็ต้องเศร้าสลดผ่านความทรงจำของผู้หญิงคนหนึ่งเมื่อเธอคิดถึงชายแก่ในชีวิตของเธอ... “นานเท่าไหร่แล้วที่เธอไม่เคยได้คิดถึงชายคนนี้ กาลเวลาช่างโหดร้าย ถ้าใครอันเป็นที่รักยิ่งตายจากไป แล้วเราก็ลืมเขาได้จนหมดสิ้น” อ่านแล้วคิดไม่ตกว่าใครจะเศร้ากว่ากันระหว่างคนที่อยู่กับคนที่ตาย(ถ้าคนตายไปแล้วยังรู้สึกได้) หรือตอนที่ปู่ของผู้หญิงในเรื่องตาย ไม่มีใครในครอบครัวร้องไห้เลยสักคนเพราะได้ทำใจอยู่หลายปีในช่วงที่ปู่ป่วย แล้วการจากไปของปู่ก็สอนเธอให้รู้ว่า “ความโศกเศร้าเดินทางเข้ามาสู่ชีวิตคนเราได้หลายรูปแบบและน้ำตาไม่ใช่ความโศกเศร้าที่แท้จริง”

...............
มาอีกเรื่องในหนังสือเล่มนี้....เหลือง เหลือง สว่าง กระจ่าง....คุณว่าเธอกำลังเขียนถึงอะไร... คุณรู้จักดอกจันทร์กระจ่างฟ้าไหมคะ นั่นล่ะ...คือสิ่งที่เธอเขียนถึง ดอกไม้สีเหลืองอร่าม ใบสีเขียวเข้มกลมมนที่มาแต้มแต่งสวนของเธอให้มีชีวิตชีวา หากเธอก็ยังไม่ลืมว่าเธอมีสวนดอกไม้ในฝัน ดอกลั่นทมสีขาวข้างเรือนไม้โบราณ...เธอยังบอกอีกว่า...
........
"ดอกไม้ขาวอาจจะเป็นเพียงความฝัน แต่เราก็รักมันสุดใจ ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไร แต่ความฝันก็ยังงดงามอยู่เสมอ-หรือมิจริง” อ่านแล้วคุณอาจจะเผลอพยักหน้า พึมพำตอบคำถามเธอว่า...จริง...ก็เป็นได้
.........
“ขี้มือบางคนมีค่า แต่บางคนนะ อย่าว่าแต่ขี้มือเลย แม้แต่หัวใจยังน่าชัง”...โอ...ช่างเจ็บปวดดีแท้ เธอเขียนถึงการวาดรูป ลังเลว่าจะเอาขี้มือที่เปื้อนสีไปถูๆในภาพอย่างที่เห็นครูทำดีไหม แล้วเธอยังบอกอีกว่า การวาดภาพก็เหมือนแปลหนังสือ เขียนหนังสือ เติมอยู่นั่น แก้อยู่เรื่อย
........
“มืออาชีพบรรจงปั้นเพื่อให้ดูไม่ตั้งใจ มือใหม่ปั้นแล้วปั้นอีกเพื่อให้รู้ว่าบรรจงปั้น”
เอากับเธอสิ!
ผู้หญิงที่ชื่อ’ปราย พันแสง
........
หน้ากาก...ได้ยินคำนี้แล้วนึกถึงอะไร ’ปราย พันแสง อธิบายถึงสามัญชนและอภิชาติชน เธอบอกว่า สามัญชนจะมีความรักต่อทุกสิ่งที่น่ารัก แต่อภิชาติชนจะมีความรักให้กับทุกสิ่งแม้ว่าจะน่าเกลียดเพียงใด แล้วก็สรุปว่า...การเป็นสามัญชนที่มีอภิชาติหัวใจเป็นเรื่องท้าทายไม่น้อยเพราะเราต้องเริ่มต้นด้วยการหัดพูดจาสุภาพอ่อนหวานกับคนที่น่าเกลียดๆ
..........
เธอยังทิ้งท้ายด้วย บทกวีของไบรอัน แพทเทน ที่อาจเสียดแทงก้อนเนื้อหัวใจของใครหลายคนว่า “คนเราควรต้องมีหน้ากากอันที่ใช่หรือหน้ากากแท้ติดตัวสักอัน อันที่เป็นของคุณจริงๆเป็นหน้ากากที่ไม่มีใครอื่นมาสวมแทนได้”
..............
เคยมีคนบอกไว้ว่า อยากรู้ว่าคนๆหนึ่งเป็นยังไงให้ดูหนังสือที่เขาอ่าน(อาจใช้ไม่ได้กับทุกคน...เพราะบางคนอ่านหนังสือสะเปะสะปะ ไม่มีหมวดหมู่ อ่านตั้งแต่การ์ตูนโป๊ นิยายรัก ฆาตกรรม เรื่องตลก เรื่องหนักๆสะท้อนสังคม ปรัชญาจนกระทั่งธรรมะ คงบอกไม่ได้ว่าเขาเป็นคนยังไง) อยากรู้ว่านักแต่งเพลงเป็นยังไงให้ฟังเพลงที่เขาแต่ง อยากรู้ว่านักเขียนเป็นยังไงให้อ่านหนังสือที่เขาเขียน
........
และหากคุณอยากรู้จัก ’ปราย พันแสง
ก็ต้องอ่านหนังสือที่ ’ปราย พันแสง เขียน
แล้วอย่าตกใจเมื่อคุณจะคิดไปว่า ’ปราย พันแสง คงเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ท่าทางเกเร แต่น่ารัก บางครั้งหวานสุดๆ บางทีเปรี้ยวจนเข็ดฟัน เหมือนตัวอักษรที่เธอเรียงร้อยออกมาเป็นหนังสือเล่มนี้...มนุษย์ดอกไม้พันห้าร้อยปี
ชื่อหนังสือ....มนุษย์ดอกไม้พันห้าร้อยปี
ผู้เขียน...........’ปราย พันแสง


~*~ไม่ใช่นักวิจารณ์หนังสือมืออาชีพ ก็แค่อยากเล่าถึงหนังสือที่อ่าน..ก็เพียงแค่นั้น...เท่านั้นจริงๆ ~*~
เรื่อง จากกระทู้แนะนำหนังสือของคุณบ้านเลขที่ 33

เรื่องที่ทำให้คิดถึง,Volume ปักษ์หลัง มกราคม 2551


เรื่องที่ทำให้คิดถึง คนที่ทำให้คิดถึง

จากคอลัมน์ Intune book critic นิตยสาร Volume ปักษ์หลัง มกราคม 2551
เรื่อง รุ้งรวี ศิริธรรมไพบูลย์

.............
ชื่อของ 'ปราย พันแสง เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในวงการน้ำหมึกมานานกว่าทศวรรษ เธอมีผลงานหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น บทความ พ็อกเก็ตบุ๊ก บทกวี งานแปล รวมไปถึงภาพยนตร์ และงานด้านศิลปวัฒนธรรมทั้งหลาย ถึงแม้จะหลากหลายแต่อารมณ์ในงานของเธอก็ก่อรูปให้เราเห็นถึงแนวทางและพื้นที่ของเธอในโลกวรรณกรรมได้อย่างชัดเจน

' คิดถึง...ระลึกถึง...นึกถึง' เป็นผลงานรวมเรื่องสั้นของเธอที่คัดสรรมาแล้ว 15 เรื่อง เคยได้รับการตีพิมพ์มาแล้วทั้งหมด ต่างกรรมต่างวาระกัน บางเรื่องย้อนไปถึงปี พ.ศ. 2534 เลยทีเดียว แต่เมื่ออ่านจบทั้งหมดทุกเรื่องรวมเป็นเนื้อเดียวกันได้อย่างง่ายดาย

ด้วยอารมณ์คิดถึงใครสักคน-จากใครคนหนึ่ง

เรื่องสั้นของ 'ปราย หรืองานเขียนของเธอ ไม่ได้เอาชนะใจคนอ่านด้วยความหลักแหลม หรือความเป็นเรื่องสั้นส่งเข้าประกวด ที่ต้องดีพร้อมด้วยภาษา แง่มุมที่นำเสนอ ความฉลาดล้ำ นุ่มลึกในพล็อต หรือความสร้างสรรค์ที่แปลกแหวกแนว แต่งานของ’ปรายนั้นกลับมีเสน่ห์ด้วยแนวทางของเธอเอง ที่ก่อรูปให้เธอและชื่อของเธอ - - 'ปราย พันแสง เป็นนักเขียนที่มีชื่อในวงกว้าง มีแฟน ๆ คอยติดตามผลงาน และมีผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องหลากหลาย (แต่ในอารมณ์เดียวกัน)

อย่างแรกที่เห็นได้ชัดเจนคือความจัดเจนในการใช้ภาษาเขียนที่สวยงาม และอ่อนไหว ทุกตัวอักษร คำ วลี ประโยค ฯลฯ เต็มไปด้วยอารมณ์ที่เปราะบาง และสื่อผ่านความรู้สึกถึงผู้อ่านได้อย่างมหัศจรรย์ อย่างเช่นใน เรื่องสั้นชื่อ 'ลั่นทมสีแสด'

'อ้อมแขนที่อบอุ่นมักหลอกลวงให้เราหลง'

เพียงประโยค ๆ เดียวเธอสามารถรวบความรู้สึกทั้งหมดของเรื่องสั้นเรื่องนี้ที่กล่าวถึงความรักที่พยายาม จะตัดเยื่อแต่ยังเหลือใยของผู้หญิงคนหนึ่งได้เป็นอย่างดี

หรือในเรื่องสั้นที่ชื่อ 'ประกายตาในหางนกยูง'

'เราซอนตา เราดิ่งใจ มุ่งมาดปรารถนาด่ำลึกหาความหมายทั้งหมดทั้งมวลของจักรวาลจากกระดาษเหลืองลออแผ่นเล็กเบื้องหน้า และสิ่งที่เราต่างพยายามค้นควานหาในความหมายที่ลึกซึ้งกว่าจักรวาลคือความในใจของคนเบื้องหน้า'

นี่คือความสวย เศร้า และลึกซึ้งในอารมณ์ของตัวอักษรที่เธอเรียบเรียงขึ้น

นอกจากภาษาที่สวยและเต็มตื้นไปทุกเม็ดหน่วยของอารมณ์แล้ว วิธีการสรรค์สร้างเรื่องสั้นของเธอยังน่าสนใจยิ่ง เธอไม่ได้เขียนเรื่องราวเป็นพล็อตนิยายที่จะต้องมีพระเอก นางเอก หรือตัวเอก มีเรื่องราวที่ดำเนินไปอย่างโจ่งแจ้งชัดเจน เรื่องสั้นของเธอเหมือนชิ้นส่วนในแต่ละหน้าของไดอารี่ที่นำมาต่อกัน บางหน้าอาจไร้ชื่อตัวละคร มีเพียง 'ฉัน' และ 'เขา' หรือบางเรื่องราวก็อาจมีเพียงฉัน แต่ไร้ 'เขา' มีเพียงความรู้สึกของฉันต่อเขา ต่อดอกไม้ในสวน สายลม แสงแดด กลิ่นอายของสายฝน และกรุ่นกลิ่นของกาแฟ

เหมือนกับ’ปราย ได้หยิบยื่นไดอารี่ส่วนตัวให้เราได้พลิกอ่าน ชอนไชเข้าไปสู่ห้วงอดีต ความทรงจำระหว่างเธอกับใครบางคน ดอกไม้ดอกหนึ่ง และสรรพสิ่งรอบตัวที่เธอเก็บกักไว้ในบันทึกเล่มนี้ เพียงหนึ่งหน้ากระดาษหรือไม่กี่บรรทัดที่เขียนขึ้น

ไม่เพียงอารมณ์เศร้าหม่นศร้าและอ่อนไหวในเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่องที่เธอเขียนได้ดี แต่อารมณ์อบอุ่นและสดใสในแบบที่อ่านแล้วต้องอมยิ้ม เธอก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสั้น 'จันทร์กะจ่างฟ้ายามบ่าย 'เพื่อนแปลกหน้าและผู้หญิงเห่าได้ 'เนตรดาว : เราเห็นกันในความรู้สึก' 'คืนหนึ่งเรารักกัน'

เธอเรียกกลับความรู้สึกแรกที่เราตกหลุมรักใครสักคนกลับมาได้อย่างสวยงาม

นอกจากนี้ยังมีเรื่องสั้นอยู่ 3-4 เรื่องที่น่าสนใจด้วยอารมณ์ที่แตกต่างจากเรื่องอื่น ๆ ด้วยการแฝงอารมณ์จิกกัดความเป็นหญิง-ชายในแบบเฟมินิสต์ น่ารัก ๆ ไม่ว่าจะเป็น 'ผู้หญิงมาจากดอกทานตะวัน' (คาดว่าจงใจล้อเลียนประโยคที่ว่า 'ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ จากหนังสือ Men Are From Mar Women Are Froman Venus ของ John Gray) หรือ ' เทพนิยายคืนวันพุธ' ที่ส่อสำเนียงอย่างชัดเจน

ใครเป็นแฟนหนังสือของเธอคงยังพอจำได้ว่า’ปรายเคยออกหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ 'จระเข้ ผึ้ง ตั๊กแตน โจดี้ ฟอสเตอร์ ผู้ชาย ผู้หญิง' เมื่อนานมาแล้ว เรื่องสั้นที่กล่าวถึงคงเป็นร่องรอยความคิดที่ยังหลงเหลือจาก 'เทรนด์' การพูดถึงเรื่องชาย-หญิงในยุคนั้น แต่เมื่อพิจารณาเรื่องสั้นเกือบทั้งหมดของเธอให้ดีจะเห็นว่าทุกเรื่องล้วนยกให้ 'ผู้หญิง' เป็นตัวเอกที่มีความลึกซึ้ง อ่อนไหวในอารมณ์และความสัมพันธ์อย่างมากล้นและมากกว่าผู้ชาย ตัวอย่างเช่นในเรื่องสั้น 'ตำนานดาว'

จนบางครั้งกลายเป็นการ 'ครวญคร่ำ' มากกว่า 'ครวญใคร่'

ความประทับใจต่อหนังสือเล่มนี้คือความสามารถของ ปรายที่งัดแงะความรู้สึกที่ 'จริง' 'อ่อนไหว' และ 'ลึกซึ้ง' ของ 'ผู้หญิง' 'ที่อยู่ในความสัมพันธ์' 'รัก' 'กำลังจะรัก' 'กำลังจะเลิกรัก' 'เลิกรัก' หรือทุกอย่างล้วนผ่านพ้นไปแล้ว-ด้วยดี หรือเลวร้าย มาเรียบเรียงเป็นเรื่องราวให้เราอ่าน

และแน่นอนว่าเรื่องราวของเธอสะท้อนให้เราคิดถึงใครบางคนในอดีต

ในความทรงจำของเราเอง

รสละมุนจาก 2 นักเขียนหญิง,ผู้จัดการออนไลน์15-01-51

Metro Life
ฟ้าโน้นเป็นของเธอ - สิริมา อภิจาริน
คิดถึง ระลึกถึง นึกถึง Miss you -’ปราย พันแสง
งดงามในความคิดถึง...รวมเรื่องสั้นรสละมุนจาก 2 นักเขียนหญิง
โดย รพี อัสดง ,Metro Life,ผู้จัดการออนไลน์,15 มกราคม 2551




“ผู้หญิงเข้าใจยาก เดาใจไม่ออกจริงๆ คุณคิดอะไรอยู่ บอกผมหน่อยได้ไหม”...
.....
“ถ้าผู้หญิงเข้าใจยากนัก ผู้ชายไม่ยิ่งเข้าใจยากกว่าหรือ? รักเราก็ไม่บอกว่ารัก...เอาแต่นิ่งเงียบ”
....
“ผู้หญิงนั่นแหละ รักแทบล้มประดาตาย แต่แสร้งทำเป็นไม่รัก ปากไม่ตรงกับใจคงเป็นธรรมชาติของพวกเธอสินะ”
...
หากเป็นเช่นนั้นแล้ว ก็คงจะจริง ที่เขาว่ากันว่า ผู้หญิงมาจากดาวศุกร์ ผู้ชายมาจากดาวอังคาร... เพราะมาจากดาวคนละดวงอย่างนั้นใช่ไหม มิน่าเล่า เราถึงไม่เข้าใจกันเลย
..................
นั่นก็เพราะว่า เราเป็นมนุษย์ไงล่ะ จิตใจมนุษย์ยากแท้หยั่งถึง ไม่รู้ดอกหรือ ? หลายต่อหลายครั้ง เราจึงแสดงท่าทีสวนทางกับความรู้สึกที่แท้จริงข้างใน ปากพูดอย่างหนึ่ง ใจคิดอีกอย่างหนึ่ง หากถามว่าทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไร...คงเพราะ ไม่อยากให้เขารู้กระมัง หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะ...กลัวความผิดหวัง ถ้าหากเปิดเผยความรู้สึกตัวเองออกไป
...
แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลสำคัญที่สุดหรอกนะคุณผู้ชายทั้งหลาย...หากคุณอยากได้คำอธิบาย หรือคำตอบว่า ทำไมผู้หญิงอย่างเราๆ จึงไม่พูดไปอย่างที่ใจคิด รักแล้วไยจึงไม่เอ่ยคำรัก? คำตอบมิได้มีเพียงแค่ หวั่นกลัว ขวยเขิน ไม่แน่ใจในตัวอีกฝ่าย แต่มันมีอะไรนอกเหนือจากนั้น....มากมายนัก

ก็แหม...ดอกไม้ยังมีหลายพันธุ์หลากสีนี่นะ ผู้หญิงก็ไม่ต่างกันย่อมมีวิธีแสดงออกได้หลายรูปแบบ หรือหากจะเก็บงำ...ก็ทำได้ไร้ที่ติ

เพราะคำบางคำไม่จำเป็นต้องเอื้อนเอ่ย หากใช้ “ใจ” มองหาย่อมค้นพบได้ไม่ยาก ...ในทางกลับกันความรู้สึกบางอย่างก็ลึกซึ้ง ลึกล้ำจนไม่อาจหาถ้อยคำใดมาพรรณนา...เป็น “ความนัย” ที่จักเผยตัวต่อผู้ที่เปิดใจกว้าง มองด้วยความรู้สึก มิใช่หยุดอยู่เพียงแค่ตาเห็น...

แต่เพราะคนเรามักละทิ้ง หลงลืม บางสิ่งอันละเอียดอ่อนงดงามที่ซุกซ่อนอยู่ ด้วยเหตุนี้ “มุมวรรณกรรม” จึงขอหยิบหนังสือรวมเรื่องสั้นจาก 2 นักเขียนหญิง ที่ชวนให้หัวใจได้ฉุกคิด ทบทวนถึงความรู้สึกบางอย่าง ที่เราทำตกหล่นหรือเคยมองข้ามไป สำคัญกว่านั้น เรื่องสั้นเหล่านี้อาจช่วยเปิดใจเราให้สัมผัสใจอีกฝ่ายได้ดีกว่าเคย
.........
ขอบฟ้าโน้นเป็นของเธอ ผลงานรวมเรื่องสั้นของ สิริมา อภิจาริน (สำนักพิมพ์อรุณ) และ คิดถึง ระลึกถึง นึกถึง Miss you รวมเรื่องสั้นของ ’ปราย พันแสง(สำนักพิมพ์ ฟรีฟอร์ม) คือหนังสือที่เรานำมาฝากท่านผู้อ่านในวันนี้


ทั้งสองเล่มนับว่ามีความคล้ายคลึงกันไม่น้อยในเรื่องของการบอกเล่าด้วย “อารมณ์” หรือ “สำเนียง” ของผู้หญิง หากแต่ในความเหมือนก็มีความต่างที่น่าสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในเรื่องของ “ความรัก” และ “ความเหงา”
...........
เรื่องสั้นของสิริมา ซึ่งเป็นการรวบรวมผลงานที่เคยตีพิมพ์ในสตรีสารและลลนา เมื่อราว 10-20 ปีก่อน มาพิมพ์ใหม่ มีเสน่ห์อยู่ที่สำนวนภาษาอันละเลียดละไม ลื่นไหล เรื่องสั้นทั้งหมดในเล่มว่าด้วยชีวิตหนุ่มสาวที่ไปเรียนต่อเมืองนอก โดยเล่าผ่านมุมมองของหญิงสาวผู้เป็นตัวเอกของเรื่อง ซึ่งได้รู้จัก พบพาน กับผู้คนหลายหลากที่ผ่านเข้ามาในชีวิต บางคนจากไปแล้วหากเรื่องราวยังอยู่ในความทรงจำ

บ้างพบกันเพียงเพื่อเรียนรู้ในความแตกต่างแล้วร่ำลา และกับบางคน-บางคู่ โชคชะตานำพาให้พวกเขามาพบเพื่อใช้ชีวิตร่วมกัน
“น้ำเสียงของหญิงสาว” ในทำนองนี้ ปรากฏอยู่ในคิดถึง ระลึกถึง นึกถึง Miss you ของ ’ปราย พันแสง ด้วยเช่นกัน รวมถึงผู้คนที่ก้าวเข้ามาเพื่อเรียนรู้ ผูกพัน และจากลา หากแต่การจากลาของสิริมา และ ’ปราย พันแสง ก็แตกต่างกันไม่น้อย

หลายเรื่องสั้นของสิริมา แม้จบลงด้วยการที่ต่างฝ่ายต่างต้องมีเส้นทางของตนเอง แต่น้ำเสียงที่เล่า คล้ายจะเต็มไปด้วยความเข้าใจในความพลัดพรากว่าเป็นสัจธรรมของชีวิต เป็นเรื่องปรกติธรรมดาที่ต้องพบเจอ หลายเรื่องชวนให้เราแต้มรอยยิ้มไว้ที่มุมปากจนถึงบรรทัดสุดท้าย

ต่างจากเรื่องสั้นของ ’ปราย พันแสง ที่มี “ความเหงา” “ความเศร้า” อวลอยู่ในแทบทุกบรรทัด ทุกถ้อยความ กรุ่นอยู่ในทุกตัวอักษรอันละมุนละไมและงดงาม

แต่ไม่ว่าอย่างไร แม้ในการพลัดพรากและจากลา อาจนำมาซึ่งความอาดูร อาลัย อาวรณ์...ใครบางคนอาจไม่เคยได้รับการ “เติมเต็ม” จากใครได้อีกตลอดชั่วชีวิตที่เหลือ กระนั้นก็ยังคงมีความงดงาม หวามไหว ปรากฏอยู่ในทุกห้วงยามของความทรงจำ
....
เป็นความเหงา เศร้า อาลัยรัก ที่ผูกพันเชื่อมโยง 2 หัวใจ ไว้ด้วยกัน... ในทุกครั้งที่นึกถึง