Celebrity on Web 'ปราย พันแสง จากหน้าหนังสือสู่หน้าบล็อก จากนิตยสาร E.COMMERCE ฉบับ 114 เดือน มิถุนายน 2551

'ปราย พันแสง จากหน้าหนังสือสู่หน้าบล็อก
จากคอลัมน์ Celebrity on Web
นิตยสาร E.COMMERCE
ฉบับที่ 114 เดือน มิถุนายน 2551

....................
เมื่อพูดถึงนักเขียนผู้หญิงแถวหน้าของเมืองไทย 'ปราย พันแสง จัดได้ว่าเธอเป็นหนึ่งในผู้หญิงแถวหน้านั้น สำหรับคนรักหนังสือ น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักผู้หญิงคนนี้ โดยเฉพาะกลุ่มคนรักหนังสือยุคไฮเทคที่ชื่นชอบการติดต่อสื่อสารในโลกไซเบอร์ เพราะนอกจาก ' 'ปราย ’ ติดต่อกับกลุ่มผู้อ่านผ่านทางผลงานวรรณกรรม หนังสือแปล และคอลัมน์นิตยสารต่างๆ แล้ว เธอยังมีบล็อก http://prypansang.blogspot.com ที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารกับคนรักหนังสือด้วย

เริ่มต้นงานเขียนบนโลกออนไลน์
คุณปรายเล่าว่า ชีวิตงานเขียนของเธอกับโลกออนไลน์เริ่มมาตั้งแต่ 10 กว่าปีที่แล้ว จากการใช้อีเมลในการส่งต้นฉบับ ซึ่งช่วงนั้นเขียนคอลัมน์ประจำที่นิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ หลังจากใช้อีเมลในการส่งต้นฉบับทำให้เพิ่มสะดวกแก่สำนักพิมพ์มากขึ้นด้วย เนื่องจากไม่ต้องพิมพ์ซ้ำเพื่อตีพิมพ์อีกรอบ แต่ด้วยช่วงนั้นการใช้งานอินเทอร์เน็ตในเมืองไทยยังไม่ดีเท่ากับตอนนี้ บางครั้งส่งงานไปให้สำนักพิมพ์ แต่ไม่สามารถเปิดไฟล์งานได้ ทำให้เกิดปัญหากับการส่งต้นฉบับ
..............
เมื่อเจอปัญหามากขึ้นในการส่งต้นฉบับ จึงคิดหาวิธีแก้ปัญหาเพื่อให้การทำงานสะดวกมากขึ้น ซึ่งตอนนั้นใช้อีเมลของ Yahoo และบนหน้าเว็บไซต์มีการโปรโมตเว็บไซต์ geocities ให้ใช้พื้นที่สำหรับสมาชิกของ Yahoo จึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก เพื่อขอใช้พื้นที่ฟรีที่เว็บไซต์นี้ในการอัพโหลดต้นฉบับใส่ไว้บนเว็บไซต์สำรองไว้ หากมีปัญหาในการส่งต้นฉบับทางอีเมล ทางสำนักพิมพ์จะสามารถเข้ามาอัพโหลดไฟล์งานจากเว็บไซต์นี้ได้
.........
หลังจากไม่ได้นำต้นฉบับไปอัพโหลดไว้บนเว็บไซต์ geocities แล้ว ทำให้พบว่ามีคนสนใจเข้ามาอ่านต้นฉบับบนเว็บไซต์ เพราะมีอีเมลจากคนอ่านที่ต่างประเทศส่งถามว่าทำไมช่วงนี้ไม่นำงานเขียนอัพโหลดขึ้นมาให้อ่านบ้าง ทำให้เริ่มรู้สึกว่าการเขียนการอ่านในโลกออนไลน์นั้นเป็นการสื่อสารไร้พรมแดนจริงๆ
........
ต่อมาสังคมอินเทอร์เน็ตในไทยเริ่มเว็บไซต์ข่าวสารต่างๆ มากขึ้น มีเว็บไซต์มาขอต้นฉบับไปลงในเว็บไซต์ให้อ่านฟรี จึงตัดสินใจคัดเลือกต้นฉบับที่ตีพิมพ์ลงนิตยสาร และเป็นครั้งแรกที่ไม่ได้เงินค่าเรื่อง (ขำ) แต่ก็ได้เห็นผลดีของการนำงานเขียนเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต เพราะคนรู้จักเราผ่านอินเทอร์เน็ตมากขึ้น ระยะไม่นานก็มีแฟนประจำเกือบเท่ากับในคอลัมน์ที่มติชนสุดสัปดาห์เลย
...........
นอกจากนี้ยังพบข้อดีของการเผยแพร่ผลงานของเราบนอีกอย่างโลกออนไลน์คือ เมื่อคนอ่านที่ชอบผลงานของเรา เขาจะทำการส่งต่อไปยังเพื่อนๆ ในสังคมออนไลน์ของเขา ซึ่งช่วยให้ผลงานของเราได้รับการเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็ว และมีคนรู้จักเยอะขึ้นมาก ทำให้เห็นถึงอานุภาพของอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง
........
จากปรากฏการณ์ของการตอบรับจากแฟนหนังสือบนเว็บไซต์ ทำให้อยากทำเว็บไซต์เป็นของตัวเองในการรวบรวมงานเขียน หรือเรื่องราวต่างๆ ของเราเองให้คนอ่านผ่านทางอินเทอร์เน็ต แต่ก็พบปัญหาหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องแบบที่จ้างให้คนทำให้ จนตัดสินใจไปเรียนทำเว็บไซต์เพื่อที่จะได้มาออกแบบเว็บไซต์เอง เผื่อจะโดนใจมากกว่าให้เขาทำให้ (ยิ้ม) แต่หลังจากเรียนจบ มีงานเขียนเข้ามาค่อนข้างมาก สรุปเว็บไซต์ที่ตั้งใจไว้ก็ไม่ได้เกิด หลังจากนั้นก็ลองใช้ทั้งเว็บไดอารี่ แต่ก็รู้สึกว่ายังไม่ใช่แบบที่อยากได้ ต่อมามีบล็อกเกิดขึ้น แต่ไม่ได้ลองใช้เพราะคิดว่าน่าจะเหมือนไดอารี่
.........
แต่จุดเปลี่ยนในการได้นำงานเขียนมาสู่โลกออนไลน์เต็มตัวเนื่องจากช่วงเหตุการณ์เครื่องบินชนตึกเวิร์ลเทรด 9 กันยายน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ช็อกโลก ทำให้ต้องติดตามข่าวต่างๆ บนอินเทอร์เน็ต เพราะอัพเดตเร็วกว่าช่องทางอื่น และเจาะลึกกว่าในหน้าจอทีวีหรือหนังสือพิมพ์ที่เมืองไทย ช่วงนั้นเข้าไปอ่านบล็อกเยอะมาก ส่วนใหญ่เป็นบล็อกของคนอเมริกันที่แสดงความรู้สึกของเขาต่อเหตุการณ์นี้ บางคนอยู่ในเหตุการณ์และหนีรอดมาได้ เขาก็มาเขียนเล่าว่าเกิดอะไรบ้าง หลากหลายคนมาเล่า ทำให้เวลาอ่านรู้สึกเหมือนนิยายสืบสวนสอบสวนดีๆ เรื่องหนึ่งเลย
.........
จากเหตุการณ์นี้ทำให้เห็นถึงความแตกต่างของบล็อกกับไดอารี่ออนไลน์ หลังจากนั้นได้มาลองเปิดบล็อกเป็นของตัวเองบ้าง และทดลองใช้บล็อกต่างๆ แต่รู้สึกว่าบล็อกคนไทยจะมีโฆษณาเยอะ ช่วงหลังจึงมาใช้บริการของ Blogger (http://prypansang.blogspot.com) ซึ่งมีผู้ที่สนใจเข้ามาอ่านกันพอสมควร
.........
ตอนนี้คุณปรายมีเว็บไซต์ที่เผยแพร่ผลงานกี่เว็บไซต์คะ?
หลักๆ ในการเผยแพร่งานเขียนชิ้นใหม่ๆ จะอยู่ที่บล็อก http://prypansang.blogspot.com และที่บล็อก http://prypansangbooks.blogspot.com ที่ทำไว้เพื่อให้ข้อมูลรายละเอียดเกี่ยวกับพ็อกเก็ตบุ๊กต่างๆ ซึ่งมี 20กว่าเล่ม แล้วมีบล็อก http://prypansangclipping.blogspot.com เอาไว้เก็บข่าวเก็บเรื่องราวที่มีคนอื่นเขียนถึงหนังสือหรือผลงานของเรา เพราะก่อนหน้านี้เก็บใส่แฟ้มไว้ที่บ้าน ก็หายบ้าง ลืมไปบ้าง แต่พอมารวมไว้ในบล็อกเป็นที่เป็นทางก็ดูจะเข้าที่ดี คนอื่นที่ไม่เคยอ่านก็สามารถคลิกเข้ามาอ่านได้ด้วย ทำให้ข่าวสารต่างๆ ไม่สูญหายไปไหน ยังมีคนได้อ่านได้เห็นมันอยู่เรื่อยๆ นอกจากนี้ยังมีบล็อกสำหรับเก็บเพลง เก็บภาพถ่าย เก็บอะไรต่อมิอะไรแยกต่างหากไว้อีกเยอะแยะ
.......
การใช้ประโยชน์บนโลกออนไลน์ในบทบาทของนักเขียนเป็นอย่างไร?
ช่วงหลังมานี่เลิกเขียนประจำในนิตยสารต่างๆ เพราะงานประจำหนักมาก เนื่องจากออกมาตั้งสำนักงานของตัวเอง (หุ้นกับพี่ๆ น้องๆ และเพื่อนๆ) ที่ต้องเลิกเขียนประจำลงนิตยสารเพราะบางทีงานประจำของเราไม่สามารถควบคุมเรื่องเวลาได้ แต่ตัวเราเองก็ยังมีเรื่องที่อยากเขียนอยู่ จึงใช้บล็อกนี่แหละเอาไว้เผยแพร่งานเขียน เพราะสามารถเข้ามาเขียนเมื่อไรก็ได้ เมื่อเขียนไปสักระยะก็จะคัดเรื่องที่เขียนลงบล็อกเอามารวมเล่มได้ด้วย ซึ่งจะเห็นว่าประโยชน์หรือกระบวนการของมันก็ไม่ต่างจากการเขียนประจำลงนิตยสารแต่อย่างใด เพียงแต่จะสะดวกเรื่องเวลาทำงานมากกว่าเท่านั้น ถือว่าเป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์มากค่ะ
..........
ที่นักเขียนมีบล็อกเป็นของตัวเองเป็นผลดีมากน้อยแค่ไหน?
คิดว่าน่าจะมีประโยชน์ในการเผยแพร่ความคิดหรือผลงานของนักเขียนนะคะ ส่วนตัวพี่เองมีผลดีและเป็นประโยชน์มาก เพราะบล็อกเป็นสื่อกลางให้ตัวเราได้พบปะกับคนอ่านได้ตลอดเวลาที่แต่ละคนพร้อม นอกจากนี้ยังมีคนอ่านรุ่นใหม่ๆ เข้ามารู้จักเรามากขึ้น ตอนนี้มีคนอ่านผลงานของเราทั้งนักอ่านหน้าใหม่และหน้าเก่าเลยค่ะ
.........
ปัจจุบันนักเขียนเริ่มมาสร้างพื้นที่ในโลกออนไลน์ไว้เผยแพร่ผลงาน บทวิจารณ์ และติดต่อกับผู้อ่านมากขึ้น คุณปรายมองอย่างไรคะ?
พี่ว่ามันดีมากเลยค่ะ ถือเป็นช่องทางใหม่ๆ ที่สะดวกมาก สำหรับคนที่มีความสามารถจะได้โชว์ฝีมือ พี่เข้าไปอ่านในบล็อก ในเว็บไซต์บางแห่ง เขียนดีมาก เขียนดีกว่าเรื่องที่เราได้อ่านในหนังสือแพงๆ บางฉบับด้วยซ้ำไป อย่างบทวิจารณ์ภาพยนตร์ ถ้าไม่ใช่บทวิจารณ์ในหนังสือภาพยนตร์โดยตรงแล้วพี่อ่านไม่ได้เลยนะ เพราะเป็นแค่รีวิวสั้นๆ ตามใบปลิวประชาสัมพันธ์ของบริษัทหนัง เจอบ่อยๆ แบบนี้ก็ขี้เกียจอ่าน แต่พวกบทวิจารณ์หนังในบล็อก ในเว็บไซต์ต่างๆ ยังตามอ่านอยู่ บางคนเขียนดีมากเลย มีการหาข้อมูล ความรู้แน่น ตอนหลังพอเขียนบล็อกเยอะๆ ก็มีคนขอไปทำเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ค พี่ว่ามันดีมากเลยนะ นอกจากดีสำหรับคนเขียนแล้วก็ยังดีสำหรับคนอ่านด้วย
............
สำหรับเว็บฯ http://prypansang.blogspot.com/ เป็นเว็บฯ หลักในการติดต่อสื่อสารกับคุณปรายใช่ไหมคะ คอนเทนต์ในเว็บฯ นี้จะเป็นคอนเทนต์พิเศษที่ทำขึ้นมาเฉพาะใช่ไหม?
ใช่ค่ะ ตอนนี้เป็นสื่อหลักเลย ตั้งใจเขียนขึ้นใหม่สำหรับบล็อกนี้โดยเฉพาะเลย แต่บางครั้งงานยุ่ง ไม่ค่อยมีเวลามาอัพเดต นานๆ พี่ก็จะเอาเรื่องเก่าๆ ที่เคยเขียนไว้มาลงสลับบ้าง เพราะเกรงใจคนที่คลิกเข้ามาอ่านบ่อยๆ แล้วไม่เจออะไรใหม่ๆ บ้างเลย อย่างงานเก่าๆ บางชิ้นหลายคนก็ไม่เคยอ่านนะคะ แบบว่าเกิดไม่ทันทำนองนั้น (ขำ) แต่พอเอามาลงทีไรก็ได้รับการตอบรับดีทุกครั้ง
...........
เนื้อหาที่คุณปรายเขียนบนเว็บไซต์จะมีไปตีพิมพ์เป็นหนังสือไหมคะ?
มีค่ะ ออกมาแล้ว 1 เล่ม ชื่อ “คาเฟ่เสน่หา” เนื้อหาบางส่วนในเล่มนี้นำมาจากบล็อกค่ะ แต่ตอนตีพิมพ์เป็นหนังสือก็จะมีการเรียบเรียง ขัดเกลา เพิ่มเติม ตัดทิ้งบ้าง เพราะตอนเราเขียนบล็อกเราเขียนสดๆ พอมาตรวจแก้ทีหลังก็ต้องมีการปรับปรุงให้ลงตัวขึ้น
........
มองอย่างไรคะหากวันหนึ่งกระแสการอ่านเรื่องสั้น นวนิยาย บนเว็บไซต์ซึ่งสามารถอ่านได้ฟรี ได้รับความนิยมมากกว่าการไปซื้อหนังสือ คิดว่ามีผลกระทบกับนักเขียนที่ทำผลงานออกมาเป็นตัวเล่มขายหน้าร้านไหมคะ?
ถ้าคนเลิกซื้อหนังสือหมดคงกระทบนักเขียนแน่ๆ ค่ะ แต่ถ้าคนหันมาอ่านออนไลน์กันหมด ถ้าไม่พิมพ์หนังสือกันแล้ว ต่อไปเวลาจะอ่านอะไรออนไลน์อาจจะต้องจ่ายเงินก่อนอ่านมากขึ้นนะคะ อย่างหลายๆ เว็บไซต์ที่ให้จ่ายเงินเป็นสมาชิกก่อนถึงจะได้อ่าน สำหรับพี่ยอมรับได้นะ เพราะคิดว่าโลกมันเปลี่ยน ทุกอย่างก็ต้องเปลี่ยนอยู่แล้ว และเมื่อมันเปลี่ยนไปถึงจุดหนึ่ง ในจุดนั้นมันก็ต้องหาสมดุลของตัวเองได้เหมือนกัน
......
ในอนาคตคุณปรายคิดวางแผนขายคอนเทนต์บนเว็บไซต์ไหมคะ?
ถ้าคนเลิกซื้อหนังสือกันหมดคงต้องคิดเหมือนกันค่ะ แต่ตอนนี้หนังสือยังขายได้เรื่อยๆ คอนเทนต์บนเว็บฯ ก็เลยไม่ซีเรียสเท่าไรค่ะ เพราะโดยส่วนตัวก็ยังอยากให้การเขียนบล็อกเป็นอิสระจากธุรกิจไปเรื่อยๆ ถ้าต้องขายคงต้องเกร็งแน่ๆ เลยเวลาจะเขียนอะไรลงบล็อกแต่ละชิ้น แต่ตอนนี้คนอ่านฟรีไงคะ ก็เลยเขียนอะไรก็ได้ตามใจ สบายใจ ไม่เครียด ไม่เกร็ง แต่ขออย่างเดียวอ่านแล้วทิ้งคอมเมนต์ไว้ให้บ้างเท่านั้นก็ดีนะคะ (ยิ้ม)
....
สุดท้ายนี้อยากให้คุณปรายฝากผลงานที่ออกมาในปัจจุบัน และเว็บไซต์ที่สามารถเข้ามาพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคุณปรายได้ค่ะ
ผลงานพ็อกเก็ตบุ๊กล่าสุดตอนนี้ก็มี “คาเฟ่เสน่หา” เป็นรวมบทความคัดสรรของ “ปราย พันแสง” ชุดล่าสุด กับงานบรรณาธิการเรื่องแปล “ร้านชำสำหรับคนอยากตาย” ค่ะ ถ้าสนใจจะแวะเวียนไปอ่านไปชม หรือแวะเข้าไปพูดคุยกันได้ที่บล็อก http://prypansang.blogspot.com/ นะคะ
....

คงจะเป็นการอ่านรอบที่สาม โบยบินแล้วไม่หวนคืน

นี่คงจะเป็นการอ่านรอบที่สาม
โบยบินแล้วไม่หวนคืน
"บางเรื่องราว มีกลิ่นหอมหวาน น่ารัก บางเรื่องสื่อถึงความจริงบางอย่างที่บางครั้งเราเกือบลืมเลือนมันไป"
จาก บ้านนู๋หวีด
....
หลังจากอ่าน "ความรักเจ้าขา" จบไปตั้งแต่ต้นเดือน เราก็เริ่มมีอาการ อยากอ่านหนังสือ ต่อไปเรื่อยๆ แต่ปัญหาใหญ่ที่ตามมาก็คือ ไม่รู้ว่าจะอ่านเรื่องอะไรต่อดี หนังสือที่ซื้อมาตอนปลายปีที่แล้ว 8-9 เล่มและยังไม่ได้อ่านก็ไม่ยอมหยิบออกมาอ่านซักที อืม...ม ให้มันได้อย่างนี้สิ งงกับตัวเองจริงๆ
........
อยากอ่านหนังสือแต่ไม่รู้จะอ่านอะไรดี ทุกวันก็ได้แต่หยุดยืนอยู่หน้าชั้นหนังสือ เอื้อมมือออกไปและหยุดชะงักอยู่แค่นั้น ไม่ยอมหยิบหนังสือมาอ่าน
....
ไม่รู้สินะ มันเหมือนกับว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะอ่านหนังสือที่ตัวเองมีอยู่ เหมือนหนังสือแต่ละเล่มมีช่วงเวลาของมัน เวลาแบบนี้ ช่วงนี้ ต้องเรื่องนี้...เหมือนๆกับการฟังเพลงมั้ง อารมณ์เหงาๆต้องเพลงนี้ อารมณ์ดีต้องเพลงนี้ จังหวะนี้ อะไรประมาณนั้น
.........
นั่งรอหนังสือที่เพื่อนรักบอกว่าจะส่งมาให้ รอ...ร๊อ...รอ ก็ยังไม่มีวี่แววว่าคุณเธอจะส่งมาซักที บอกจะส่งของขวัญ(หนังสือ)มาให้ตั้งแต่หลังสงกรานต์จนบัด now ของขวัญวันเกิดเราก็ยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ที่เดิม ณ.เชียงใหม่ เหอๆ บ่นมากไปก็ไม่ได้ เดี๋ยวโดนคุณเธอกัดจิกกลับมา เจ็บตัวเปล่าๆ
...........
"ทีของขวัญวันเกิดช้านแกยังดองข้ามปี นี่ชั้นดองของขวัญแกไม่ถึงเดือนทำบ่น" แหะๆ...ก็เราไปดองของเค้าก่อนนี่นา....เอาวะ ร้องเพลงรอต่อไป จนกว่าคนข้างๆคุณเธอจะมีเวลา และเห็นใจสาวสวยน่ารักคนนี้ว่าร้องเพลงรอหลายรอบจนเสียงแห้งมานานพอควรแล้ว
.............
ตอนนี้เลยต้องหาซื้อ Magazine มาอ่านแก้ขัดไปพลางๆก่อน (จริงๆซื้อมาแทบไม่ได้อ่านเลย นั่งเปิดๆดูจนหมดเล่มแล้วก็โยนทิ้งไว้อย่างนั้น) เมื่อวานก็ไปซื้อมา 3 เล่ม (เอากะมานสิ เหอๆ) ทีแรกคิดว่า 3 เล่มนี้คงอ่านได้ 2-3 วัน แต่ที่ไหนได้ พอดึกๆ Magazine ทั้งหลายก็จรลีไปอยู่ข้างเตียงหมด (ไม่มีอารมณ์อ่านง่ะ) อยากอ่านหนังสือๆๆๆๆ...ลุกไปหาหนังสือมาอ่านดีกว่า...

.

.

"อ่านอะไรดีหว่า" บ่นกับตัวเอง สายตาก็ไล่ไปตามหนังสือบนชั้นวางหนังสือสีเขียวสดอย่างช้าๆ
....เทพนิยายกรีก...อ่านแล้ว
....เทวดาฝรั่ง....อยากอ่าน แต่ไว้ก่อน...
....บุหลันแรม...นกไม่มีปีก...ท่าทางจะหนักไป..ผ่าน...
....เม้าท์แม่....อ่านแล้ว
Love letter...เพิ่งอ่านจบ...

..............
เล่มไหนดีหว่า??......"เอาเล่มนี้ละกัน" ฉันดึงหนังสือเล่มหนึ่งออกมาจากชั้น...หนังสือหน้าปกสีเขียวใสเย็นตา ไม่หนามาก "โบยบินแล้วไม่หวนคืน (เรื่องส่วนตัว) 'ปราย พันแสง" นี่คงจะเป็นรอบที่ 3 แล้วที่ฉันอ่านหนังสือเล่มนี้ เปิดอ่านอีกทีก็ยังคงชอบเรื่องราวต่างๆภายในเล่มที่พี่ปรายเขียน มีทั้งเป็นบทกลอน บทความ..เรื่องสั้น บทสัมภาษณ์ เรื่องส่วนตัวของคนเขียน บางเรื่องราว มีกลิ่นหอมหวาน น่ารัก บางเรื่องสื่อถึงความจริงบางอย่างที่บางครั้งเราเกือบลืมเลือนมันไป
.........
เปิดอ่านไปทีละหน้าอย่างตั้งใจไปสักพักใจก็เริ่มคิดสงสัย ชื่นชม และแอบอิจฉาขึ้นมานิดๆว่าทำไมเค้า (นักเขียน) ถึงได้เขียนอะไรๆได้ดีจัง...สั้นๆ ง่ายๆ แต่แฝงไว้ด้วยความหมาย แง่คิดมากมาย
...........
ไอ้เราอยากเขียนได้แบบเค้ามั่ง นั่งเขียน นั่งพยายามแทบตายกลับเหลวเป๋วไม่เป็นท่าไปซะทุกที ที่เขียนไปวันๆก็ได้อยู่แค่นี้ เขียนออกมาแบบตรงๆ ทื่อๆ คิดยังไงก็เขียนอย่างนั้น ขัดเกลาถ้อยคำให้สละสลวยแบบคนอื่นไม่เคยได้ซักที บางครั้งเขียนเสร็จก็นั่งอายตัวเองอยู่เหมือนกันว่าชั้นเขียนอะไรไปนี่ เหมือนกับแค่มานั่งบ่นๆให้คนอื่นอ่านเลย...เฮ้อ...

........
เอาน่าๆ ไม่เป็นไร ถึงเราจะเขียนให้ใครๆคิดตามได้ไม่ดีนัก แต่เราก็รักที่จะคิดตามในสิ่งที่ใครๆ เขียนละกันน่า ^ ^

ลูกหลานของมูราคามิ


ลูกหลานของมูราคามิ


จากบล็อก opera.com ห้วงคำนึงของหุ่นกระป๋องตัวหนึ่ง




มีประชากรนักเขียนนับหัวกันแล้วในประเทศนี้ อาจไม่ถึงสิบเปอร์เซ็นต์ของจำนวนประชากรทั้งหมด
.........
หากนับด้วยฐานะของรายได้ที่บุคคลผู้เรียกตัวเองว่านักเขียนนั้น หาได้จากงานเขียนของตัวเองจริงๆ
.........
“แกลองคิดดูสิ ถ้านักเขียนเท่าที่มีอยู่น้อยนิด พากันเขียนเรื่องเกี่ยวกับตัวเอง อาทิเช่น เหตุไฉนหนอ ตูข้าถึงมาเป็นนักเขียน แล้วตูข้าจะฟันฝ่าสถานะของความล้มเหลวในผลงานที่วางอยู่บนความฝันที่สั่นคลอนได้อย่างไร มันคงจะน่าเบื่อพิลึกนะ ที่ทุกคนพากันเขียนเกี่ยวกับตัวเอง เพราะกรอบของคำว่า จงเขียนสิ่งที่คุณรู้ดีที่สุด มันครอบอยู่”
............
มันอีกแล้วครับทั่น เจ้านายผมมันเริ่มบ่นตามประสาอีกแล้ว หลังจากอ่านหนังสือ HARUKI STUDY BOOK MURAKAMI
..........
หรือฉบับแปลในชื่อภาษาไทยว่า ศาสดาเบสต์เซลเลอร์ ของ ‘ปราย พันแสง
.........
หนังสือเล่มนี้เปลื้องเปลือยชีวิตของนักเขียนผู้เปรียบเสมือนหลักปักหมุดให้กับงานเขียนสมัยใหม่ หลังยุคสงครามเย็น
..........
ก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการแสวงหาตัวตน
..
ผมยังไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้อย่างจริงจัง อาศัยฟังเอาจากเจ้านายก็พอจับน้ำเสียงแกมอิจฉาของพี่แกได้ว่า
งานเขียนของมูราคามิ ในทัศนะของเคนซาบุโร โอเอะ ที่เป็น ภาพจำลองอนาคตญี่ปุ่นที่สะเปะสะปะไร้ทิศทาง นั้น มันมีอิทธิพล มันมี “อะไร” มากกว่าแค่การพร่ำบ่นถึงชีวิตของนักเขียนหนุ่มคนหนึ่ง ที่พยายามอย่างยิ่งในการเติมเต็มชีวิตอันว่างเปล่าไร้ทิศทาง ด้วยการดวลเบียร์เข้าไปจนเต็มกระเพาะ ตลอดฤดูร้อน
.............
“คุณและค่าของการที่นักเขียนคนหนึ่ง หรือคนที่กล้าเรียกตัวเองด้วยคำนั้น จรดพรมมือลงบนแป้นพิม์
เขียนแต่สิ่งที่เป็นส่วนตัวเอามากๆ อย่างชีวิตตัวเองลงในสิ่งที่เรียกว่า นิยาย นั้น วัดกันจากอะไร ?”
............
ผมอ้าปากหวอ สารภาพกับตัวเอง (โดยไม่กล้าเอ่ยกับเจ้านาย) ว่า กูก็ไม่รู้ (โว้ย !)
...........
เราวัดด้วยอะไรเหรอ ? จากงานเขียนชิ้นหนึ่ง
...........
สงครามและสันติภาพ ของทรอสทรอย มีคุณค่ามากกว่าหรือน้อยกว่า กลาย ของฟรันซ์ คาฟคา

“แกลองคิดดูสิ ถ้านักเขียนทุกคนในประเทศนี้ พากันเขียนเกี่ยวกับเรื่องของนักเขียนอีกคนในตัวเอง เราจะมีวรรณกรรมแบบไหนบนชั้นหนังสือ ฉันก็ไม่ได้อยากชี้นิ้วโบ้ยไปที่มูราคามิหรอกนาโว้ย
แต่เราหมกมุ่นอยู่กับการค้นหา ตั้งคำถาม รื้อคำตอบ สร้างคำถามชุดใหม่ พิสูจน์สมมุติฐานจากทฤษฎีที่เราก็ไม่ได้เชื่อมั่นอะไรนักหนา เพื่ออะไรวะ ? เพื่อบอกคนอ่านในหน้าสุดท้ายว่า ขอโต๊ด งานเขียนชิ้นนี้เป็นเรื่องของนักเขียนคนหนึ่งคร้าบบบ”
...........
เราอยู่ในยุคที่ไม่รู้ว่าควรจะเดินไปทางไหนจริงๆ หรือแค่เราแสแสร้งแกล้งทำ เพราะมันทำให้เราแตกต่างจากคนอื่นๆ กันแน่ ?
...........
ผมครุ่นคิดเรื่องนี้ เท่าที่สมองผุๆ ขึ้นสนิมของผมพอจะนึกออก
การปะทะของสองยุคสมัย
การวิพากษ์และวิจารณ์คนรุ่นใหม่ของคนรุ่นก่อน
เกิดและดำเนินไปอย่างคู่ขนานมาเสมอ ไม่ว่าในยุคสมัยไหน
แต่เสรีภาพแบบไหนกัน ที่เราปรารถนา
เราจะพากันเดินดุ่มๆ ในความมืด มีแสงจากไฟแช็คราคาถูกเพื่อส่องนำทาง
แล้วหลอกตัวเอง ว่านั่นถือวิถีของกบฎงั้นหรือ ?
.............
เพื่ออะไร ?
............
รอยทางของคนรุ่นก่อนที่ปูไว้ มันน่ารังเกียจ กระทั่งชวนให้ขยะแขยงถึงขั้นภาคเสธรากเหง้าตัวเองเชียวหรือ ?
......
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเรากลายเป็นคนรุ่นก่อน แล้วหันหลังกลับไปมอง คนรุ่นหลังที่กำลังก้าวตาม
กลับพบว่า มันเอาแต่ออกนอกลู่ เอาแต่ชมนก ชมไม้ เราจะเดินไปเบิ๊ดกะโหลกมันสักเผียะดีไหม ?
...........
มันน่าคิดนะ
............
คำถามเรื่องคนแต่ละรุ่น มันโยงกลับไปสู่คำถามข้างบน ถึงคุณและค่าของการเขียนที่เจ้านายผมยึดถืออยู่
ทั้งสองคำถามนี้ มันทำให้ผมนึกวลีเก่าแก่ (มั้ง) ที่พูดว่า
............
“ไม่สำคัญว่าคุณจะเป็นใคร แต่สิ่งที่คุณทำต่างหากจะเป็นตัวบอก”

Oh ! yeh

ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีิวิต


ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีวิต

14 เมษายน 2551
................
ปกติแล้วผมไม่นิยมซื้อหนังสือเล่มเดียวกันสองครั้ง
.........
หากจะซื้อก็เป็นเพราะจำไม่ได้ว่าเคยซื้อไปแล้ว ซึ่งมันก็เกิดขึ้นเพียงไม่กี่ครั้ง
..........
วันนี้ผมซื้อหนังสือเล่มนี้อีกครั้ง ไม่ใช่เป็นเพราะว่าจำไม่ได้ แต่ผมจำได้แน่นอนว่าเคยซื้อไปแล้ว คิดว่าหนังสือคงซุกอยู่ที่ไหนสักแห่งในห้อง
.........
ผมซื้อหนังสือเล่มนี้เพราะ ชื่อของมันบังเอิญตรงกับความรู้สึกของผมในตอนนั้นพอดี
.....
ฉันเกลียดเธอฉันรักเธอ…ชีวิต
หนังสือของ
พี่’ปราย พันแสง
.........
ผมเห็นเธอกับเขานั่งสวีทหวานอยู่ในร้านกาแฟ เธอนั่งเอนตัวไปพิงเขา เขาเองก็เอามืออ้อมไปโอบตัวเธอไว้ เธอกำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ ส่วนเขาก็นั่งมองดูเธอด้วยท่าทีสบายๆ
...........
ผมและเธอเคยมานั่งทานกาแฟที่นี่ด้วยกันบ่อยครั้ง ผมก็เคยนั่งมองเธออ่านหนังสือด้วยสายตาเช่นเดียวกันกับเขากำลังทำอยู่นี้
.........
ใช่ ผมจำได้ว่าเธอเคยยืม “ฉันเกลียดเธอ ฉันรักเธอ …ชีวิต” เล่มแรกที่ผมซื้อไปอ่าน และเธอก็เอาทุกอย่างที่ยืมไป รวมทั้งหนังสือเล่มนี้ มาคืนผมในช่วงที่เธอกำลังเปลี่ยนไปรักกับเขา
..........
วันนี้ผมตั้งใจไปทานกาแฟอร่อยๆ ที่ร้านนี้สักแก้ว แต่ก็ต้องเลิกล้มความตั้งใจ แล้วพาตัวเองย้ายไปร้านอื่นแทน
..........
ผมเดินจากมาด้วยความมึนงง และพยายามทำความเข้าใจว่าตัวเองรู้สึกยังไงกันแน่ ก่อนจะถึงร้านกาแฟผมแวะที่ร้านหนังสือ แล้วก็บังเอิญไปเห็นปกหนังสือเล่มนี้
...........
ใช่แล้ว … ผมเกลียดเธอ ผมรักเธอ …ชีิวิต
..........
มันเป็นเช่นเดียวกับที่พี่’ปรายได้เขียนเอาไว้ในหน้าแรกๆ แต่ขอดัดแปลงต้นฉบับให้เป็นเวอร์ชันส่วนตัวว่า “เธอเป็นคนที่ผ่านมา ทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนไป เธอทำให้ผมเป็นเกินกว่าที่เคยเป็นได้“
..........
แต่ผมก็หวังไว้ว่า เธอจะผ่านมา และจะผ่านพ้นไปจากใจผมในสักวันหนึ่ง
ผมยังหวังไว้อีกว่า เธอจะได้ทุกอย่างสุขสมใจ และที่สำคัญขอให้เธอรักเขามากกว่าตัวเธอเอง

ช่างเป็นค่ำคืนที่แสนยาวนานเสียจริง

ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ



“ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ”
จากบล็อก mailonoon

คิดถึง...ระลึกถึง นึกถึง
‘ปราย พันแสง : เขียน / สำนักพิมพ์ฟรีฟอร์ม / 195 บาท
............
“ฉันอ่านหนังสือของ ‘ปราย พันแสง แล้วร้องไห้ล่ะ”
.........
ประโยคข้างต้น ฉันบอกกับเพื่อนคนหนึ่ง ส่วนสาเหตุที่ทำให้ร้องไห้ก็คือ หนังสือคัดสรร 15 เรื่องสั้นกว่าทศวรรษของ ‘ปราย พันแสง
.....
คิดถึง...ระลึกถึง นึกถึง คือหนังสือเล่มที่ว่า
........
สำหรับใครที่เป็นแฟนตัวหนังสือของ ‘ปราย พันแสง จะรู้ว่า ตัวอักษรอันสวยงามที่ร้อยเรียงออกมาเป็นเรื่องราวต่างๆโดยนักเขียนคนนี้ นั้นเป็นอย่างไร ส่วนนักอ่านหน้าใหม่ (ฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น) ที่คิดอยากสัมผัสความสวยงามของตัวอักษร หนังสือเล่มนี้จะพาไปพบความสวยงามจากเรื่องราวต่างๆ ที่ได้คัดสรรเรื่องสั้นในรอบกว่าทศวรรษ เพื่อคุณโดยเฉพาะ
............
เรื่องสั้น 15 เรื่อง ที่ลงตีพิมพ์ต่างกรรม ต่างวาระ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือความสวย ความอบอุ่น หลายครั้งที่งานร้อยแก้วของ ‘ปราย พันแสง ตัวอักษรจะร้อยเรียงออกมา เหมือนกับว่าเราได้อ่านร้อยกรองก็ไม่ปาน และบ่อยครั้งที่เรื่องสั้นเหล่านั้น เรียกความคิดถึง ระลึกถึง และนึกถึง ความรัก หรือเหตุการณ์อดีตอันแสนหวาน จนเรียกน้ำตาออกมาอย่างไม่รู้ตัว
............
ในความเป็นจริง เหตุการณ์ และการกระทำต่างๆของคนเรา จะถูกทำให้เลือนหายไปด้วยกระแสของเวลา ไม่ว่าเหตุการณ์หรือการกระทำนั้นๆจะเป็นเรื่องน่ายินดี หรือน่าเศร้าสลด ไม่นานหลังจากมันเกิดขึ้น เราก็จะลืมมันไปเสีย
..........
ความรักก็เช่นกัน บ่อยครั้งที่เราอยากลืมความรักที่ไม่สมหวัง แต่บ่อยครั้งอีกเช่นกันที่คนรอบข้างของเรามีความสุขและจดจำความรักนั้น ตัวอักษรและเรื่องราวในหนังสือเล่มนี้ ทำให้ฉันคิดถึง ระลึกถึง และนึกถึง คนรักในอดีต ความรู้สึกของมนุษย์นั้นช่างน่าอัศจรรย์นัก เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ใด ณ แห่งหนไหน เราก็จะนึกถึงอดีตความรักอยู่เสมอ เหมือนในบางส่วนบางตอนจากหนังสือเล่มนี้…
........
‘...คุณอยู่ที่อื่นแล้ว ก็ลองไปที่อื่นบ้างแล้วไง
เราอยู่ที่อื่นแล้ว แต่ทำไมคุณยังไม่ไปไหน
ไม่อยากเชื่อเลยว่าตอนนี้เราจากกันแล้ว
คุณอยู่ไหน ใจฉันอยู่ไหน?...’

บางครั้งฉันและ หรือมนุษย์คนอื่นที่มีเลือดเนื้อก็ทำตัวแปลก เพราะยังคิดถึง ระลึกถึงและ นึกถึง ทั้งๆที่รู้ว่าต้องเจ็บปวดไม่กายก็ใจ หรือเจ็บปวดทั้งสองอย่าง มนุษย์คนอื่นเจ็บปวดเพราะความคิดถึง ฉันไม่รู้เหตุผล แต่สำหรับฉันเห็นด้วยกับในหนังสือเล่มนี้ ที่ว่า
.........
‘ไม่มีเธอ ไม่มีฉัน ใครจะคิดถึงใครหรือเปล่า-ไม่สำคัญ เพราะช่วงเวลานาทีที่เราเคยมีกันนั้น โลกมันก็ดีมากพอแล้ว’






1 Comment
ChronologicalReverseThreaded
replyforevermind wrote on Jan 28
เห็นด้วยเลยค่ะ ชอบงานของ 'ปราย เหมือนกัน
เล่มนี้เพิ่งซื้อมา ยังอ่านได้ไม่มาก แต่ก็ชอบมากจริง ๆ